นักวิชาการของ “พรรคธรรมาประชาธิปไตย” ได้ให้ความรู้เชิงวิชาการ ตามความเป็นจริง ไว้ดังนี้
๑.พรรคการเมือง มี ๒ ประเภท : > “ตามแนวคิดของกลุ่มคนที่จัดตั้งพรรคขึ้นฯ”
(๑) “เล่นการเมือง” โดยกลุ่มนายทุน นักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น รวมตัวกันฯ โดยอาศัย ชาวบ้านชาวเมืองมาเป็นสมาชิก เป็นฐานการเมืองให้ฯ เน้นการได้มาซึ่ง สส. เข้าจัดตั้งรัฐบาล หรือพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อไปถอนทุนฯ เพราะการได้มาซึ่ง สส. ใช้การซื้อเสียง ซื้อ สส. + การจัดตั้งสื่อ และมวลชนของตน พรรคการเมืองประเภทนี้ จะแอบอิงหรือพึ่งพา “นายทุนใหญ่ขาเก่า” หรือ “นายทหารแก่”
(๒) “ทำการเมือง” โดยกลุ่มผู้นำฯ นายทุน นักการเมือง ที่มีอุดมคติฯ หรือมีประสบการณ์การต่อสู้ทางการเมือง หวังเข้าไปเปลี่ยนแปลง ให้เป็นประชาธิปไตยฯ แต่การที่ “ระบบโครงสร้างการเมืองสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมแบบเดิม” ยังคงอยู่ไม่มีการปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การทำการเมืองตามอุดมคติ โดยไม่ซื้อเสียง ทำเพื่อประชาชน และประเทศชาติ จึงไม่เกิด เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่จะสร้างพัฒนาตน เป็นพรรคใหญ่ มีสส. จำนวนเกินครึ่ง พรรคที่หวังทำการเมือง เพื่อประชาชน จึงได้แค่เป็นพรรคเล็ก หรือ พรรคประกอบฯ และมีไม่น้อย พรรคที่มีอุดมคติ จึงต้องหยุดหรือเลิกไป เพราะไม่สำเร็จ เพราะขาดความเข้าใจทางการเมืองในเชิงระบบ อย่างลึกซึ้ง ฯลฯ หรือ บางกรณี ก็ต้องเปลี่ยน“หลักการ” ของตน ไปเข้าร่วมสนับสนุนพรรคใหญ่ฯ
๒. ในสังคมไทยที่ระบบโครงสร้าง มีความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม ประชาชนขาดคุณภาพ ทำให้ระบบการเมืองฯ ไม่เป็นประชาธิปไตย หรืออย่างเก่งก็เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ คือ เป็นประชาธิปไตยโดยชื่อ โดยหลักการ นามธรรม แต่ความจริง เป็นเผด็จการฯ (การมีอำนาจจัดการ) เป็นของผู้นำและคณะที่จัดตั้งพรรค หรือกล่าวอย่างหยาบๆ ว่า “เป็นพรรคมีเจ้าของ” หรือ “มีกลุ่มคน : เป็นเจ้าของพรรค”
๓. พรรคการเมืองส่วนใหญ่ในสังคมไทย เป็น “พรรคเล่นการเมือง เพื่อส่วนตัว” หรืออย่างเก่ง ก็เป็นประเภท “วัดครึ่ง กรรมการครึ่ง” (โดยกรรมการฯได้เนื้อก้อนใหญ่ไป) เมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาล จึงมีนโยบาย เพื่อตนเองและกลุ่มของตนเป็นหลักฯ จึงไม่มีความคิดที่จะปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และยังคงรักษา “ระบบโครงสร้างของสังคมแบบ
เหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรมไว้” อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง ในทางปริมาณ บางเรื่อง แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพฯ
๔. พรรคที่ “ทำการเมือง” หรือ “พรรคการเมืองของประชาชน” ยังไม่มี
มีความพยายามของ “ผู้นำ” และคณะบุคคลที่มีอุดมการณ์ที่จะจัดตั้งพรรคประเภทนี้ขึ้นในช่วงต้นในภาวะที่ “ระบบการเมือง” ยังไม่ดุเดือดรุนแรง ความขัดแย้งยังไม่สูงทำให้มีพรรคการเมืองบางส่วนสามารถมีบทบาทเพื่อประชาชนฯ ได้บางระดับประเทศไทย จึงมีประชาธิปไตยบางส่วน ที่เรียกขานกันว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ”
๕. การเกิดระบบทุนสามานย์ และการรัฐประหารฯ โดยกองทัพฯ
- แต่ตั้งแต่ ปี ๒๕๔๔ ที่นายทุนใหญ่ เข้ามาจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น โดยการซื้อเสียง ซื้อ สส. สว. รวมทั้ง การซื้อพรรคฯบางส่วนฯ รวมทั้ง การจัดตั้งสื่อและเครือข่ายมวลชนฯ เข้าไปเป็นรัฐบาล ใช้อำนาจมิชอบ ถอนทุน และเข้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และราชการฯ ระบบการเมืองฯ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทิศทางมีแต่แย่ และเลวร้ายลง ความขัดแย้งทางความคิด การต่อสู้ทางการเมืองหนักหน่วงรุนแรงขึ้น รัฐบาลที่มีคณะบุคคลที่มีอำนาจ มีทุน มีสื่อ มีเครือข่าย สส. มวลชน และนักวิชาการ ฯลฯ สังกัด ได้ใช้อำนาจมิชอบขัดกฎหมาย ละเมิดรัฐธรรมนูญฯ และไม่ยอมลงจากอำนาจ ตามกระบวนการฯ จึงสามารถอยู่ในอำนาจได้ โดยระบบรัฐสภาฯ และประชาชนไม่สามารถทำอะไรได้
l รัฐประหารโดยกองทัพ ในยุคหลัง เกิดขึ้น เมื่อความขัดแย้งรุนแรง และไม่มีทางออกฯ
การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้น โดยการรัฐประหารฯ ซึ่งเกิดขึ้น ๒ ครั้งแล้ว ในปี ๒๕๔๙ และ ๒๕๕๗ และคณะรัฐประหาร หรือ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งสืบทอดอำนาจมาฯ ก็ได้บริหารประเทศ ในการรักษา“ระบบการเมือง แบบการเลือกตั้งอย่างเดิมไว้”เพราะขาด “ผู้นำระดับรัฐบุรุษ” หรืออาจจะเป็นเพราะ “ไม่มีเงื่อนไขหรือปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงใหญ่” ที่จะมีความคิด “ปฏิรูปประชาธิปไตย” ที่แท้จริงขึ้น
๖. แต่อย่างไรก็ตาม มีผู้นำและคณะบุคคลที่ยังคงอุดมการณ์ หรือมีอุดมคติ ทำเพื่อประชาชนยังคงมีความเชื่อมั่น มีความหวัง และมีความฝันสูงสุดว่าพรรคการเมือง ที่ทำการเมืองเพื่อประชาชนและบ้านเมืองจักเกิดขึ้น แม้ว่าจะใช้เวลายาวนาน เพราะ “สังคม และประชาชนส่วนใหญ่ เมื่อมีทุกข์หนัก ทนไม่ได้ ในสภาพเดิมฯ”จะลุกขึ้นมาเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง :(ไม่สามารถทำหน้าที่การเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตนเอง, เพราะไม่มีพลังที่แท้จริง ไม่มีคุณภาพและสำนึก
ทางการเมืองที่สูงพอ ที่จะกล้าต่อสู้ กล้าเสียสละเพื่อส่วนรวม)
(๑) เรียกร้องให้เกิดผู้นำระดับรัฐบุรุษ ขึ้นมาทำหน้าที่ ปฏิรูปประชาธิปไตยที่แท้จริง
(๒) เป็นการสร้างสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง จากการที่ไม่สามารถดำรงอยู่ในสภาพเดิมที่ทุกข์ยากได้ และสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจฯ ของประเทศ (และทั่วโลก) มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ โดยส่วนตัว “ผู้นำและคณะบุคคลที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง” ยังคงยืนหยัดทำหน้าที่ของตนเอง และกลุ่มของตนเอง ในการให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกและความรับผิดชอบของผู้คนฯต่อไป เป็นการทำตามหน้าที่ ด้วยความรัก ความสุข จากการคิดดีทำดีเพื่อผู้อื่นและส่วนรวมฯ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี