กระแสต่อต้านรัฐบาลของประชาชนที่เริ่มโดยกลุ่มนักศึกษา กำลังลุกลามจากพื้นที่ กทม. ไปยังพื้นที่ต่างจังหวัด และกำลังก่อตัวเป็นกระแสถึงความไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาล พลังของนักศึกษาในหลายพื้นที่อาจเป็นพลังบริสุทธิ์ที่ต้องการส่งเสียงสะท้อนถึงความไม่พอใจในการบริหารจริงๆ และอึดอัดกับสภาวะปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแต่ก็เกิดการตั้งคำถามถึงต้นเหตุที่แท้จริงของการปลุกระดมในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการจัดตั้งที่มีฝ่ายการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่? เพื่อใช้ความไม่พอใจของประชาชนต่อความยากลำบากช่วงวิกฤติโควิดเป็นบันไดไปสู่การล้มรัฐบาล ?
เมื่อย้อนดูชนวนเหตุ พบว่าจริงๆ แล้วปีนี้อาจเป็นปีที่ยากลำบากของพลเอกประยุทธ์ปีหนึ่ง เพราะตั้งแต่ต้นปีก็มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วพอหลังอภิปรายก็เริ่มมีการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษา ท่ามกลางความสงสัยว่า มีพรรคการเมืองใดหนุนหลังหรือไม่ จนมาเกิดภาวะการระบาดของโควิดอย่างหนักทำให้การชุมนุมทุกอย่างต้องหยุดลง จนกลับมาเริ่มชุมนุมอีกครั้งก็ตอนที่สถานการณ์โควิดในประเทศดีขึ้นและรัฐบาลได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการลง ก็ไม่มีใครคิดว่าจะเริ่มการต่อต้านรัฐในตอนนั้น
เริ่มต้นตั้งแต่การพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างหลังการชะลอตัวของการท่องเที่ยว และมาตรการการควบคุมโรคที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่ก็ยังดูจุดไม่ติดเท่าไร และประชาชนส่วนใหญ่ยังหวังให้เมืองกลับมาคึกคักอีกครั้งเพราะจะทำให้การค้าขายกระเตื้องมากกว่าการสนใจเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง จึงยังไม่มีผู้สนใจมาก แต่ต่อมาที่มีประเด็นการเข้ามาของชาวต่างชาติกรณีผู้มีเอกสิทธิ์ในการเดินทางอย่างคณะทูต และทหารที่มีข้อตกลงพิเศษกันนั้น ต่อมาพบว่ามีการพบการติดเชื้อโควิดในกลุ่มนี้ ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจของประชาชนต่อความกังวลใจในเรื่องของการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 ที่อาจก่อให้เกิดความชะงักของเศรษฐกิจอีกรอบ
ประเด็นไม่พอใจตอนนั้นพุ่งเป้าไปที่การกำหนดมาตรฐานการควบคุมของรัฐกับประชาชนในประเทศที่กำหนดอย่างเข้มงวดเทียบกับมาตรฐานการควบคุมชาวต่างชาติที่ได้เอกสิทธิ์ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ แต่เอาเข้าจริงประเด็นหลัก คือ ความกังวลในการแพร่ระบาดอีกครั้ง
ทุกครั้งที่รัฐบาลมีข้อผิดพลาดไม่ว่าจะมากหรือน้อยแต่กลับมีการปลุกระดมให้เกิดความไม่พอใจในวงกว้างขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านสังคมออนไลน์ตามยุคสมัย แต่หากพูดกันตามความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เพียงประเทศไทยที่มีปัญหาเศรษฐกิจ หรือความวุ่นวายทางการเมือง ความอึดอัดของประชาชนนั้นเป็นแบบนี้ทั่วโลกและปัญหาเศรษฐกิจก็เป็นกันทั้งโลกที่ได้รับผลกระทบจากภัยคุกคามโรคระบาดที่เกิดขึ้น เพราะการค้าและเศรษฐกิจยุคใหม่เชื่อมทั้งโลกไม่อาจตัดขาดได้ทำให้แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจจะยิ่งแย่ลง
ดังนั้นก็ต้องนับว่าเป็นความโชคร้ายของพลเอกประยุทธ์อย่างหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดจากพรรคการเมืองไหนก็ตาม ย่อมบริหารงานได้อย่างยากลำบากเช่นกัน และต้องให้เครดิตรัฐบาลในเรื่องของความเด็ดขาดในการควบคุมโรค เพราะการตั้งศูนย์โควิดเพื่อประเมินสถานการณ์รายวันเป็นเรื่องที่ถูกต้องและทำให้การบริหารสถานการณ์เป็นไปได้ด้วยดี แม้ว่าจะมีตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันแต่ก็ไม่ได้เกิดการติดเชื้อภายในประเทศ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างการออกจากสถานกักตัวอย่างผู้มีเอกสิทธิ์ทางการทหาร ที่เข้าไปในเขตชุมชนก็ยังตรวจไม่พบการแพร่ระบาดในประเทศระลอกที่ 2 แต่อย่างใด ซึ่งนับว่าทั้งมาตรการระวังป้องกัน และมาตรการในการรณรงค์ให้ปฏิบัติตัวให้ถูกหลักอนามัยประสบผลสำเร็จ
แต่ที่กำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่พอใจต่อรัฐบาล และไม่ได้เกี่ยวกับความโชคร้ายในเรื่องโควิดคือ เรื่องความเชื่อถือในระบบกระบวนการยุติธรรม อันเนื่องมาจากกรณีล่าสุดจากการไม่สั่งฟ้องคดีทายาทกระทิงแดงของอัยการ โดยเรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางการเมืองทันทีอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่วัน ส่วนหนึ่งเพราะประชาชนอาจมีความคิดต่อกระบวนการยุติธรรมอยู่ในใจ
อยู่แล้วหรือไม่?
ดังนั้นต่อมาที่พอมีคนพยายามเชื่อมโยงประเด็นของการเมืองและการทำงานของระบบอุปถัมภ์ซึ่งเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปถึงระบบกระบวนการยุติธรรมของประเทศว่า มาตรฐานของการดำเนินคดีอยู่ตรงไหน? และจริงหรือไม่ที่ “คุกมีไว้ขังคนจน”? ซึ่งแม้ว่าจะเป็นประเด็นนี้จะพยายามนำมาเป็นประเด็นต่อเนื่องจากความไม่พอใจในการบริหารงานของรัฐบาล แต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือเรื่องการบริหารงานของรัฐบาลไม่ได้หมายรวมไปถึงเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งด้วยกระบวนการยุติธรรมของไทยวางระบบให้การทำงานของฝ่ายตุลาการเป็นอิสระจากการควบคุม เพื่อถ่วงอำนาจซึ่งกันและกัน ตามการแบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ
เรื่องคดีความดังกล่าวจึงไม่ใช่ความรับผิดชอบของรัฐบาล แต่เป็นเรื่องที่ต้องทวงถามไปยังฝ่ายตุลาการ และกระบวนการยุติธรรมของไทยถึงมาตรฐานที่มาถึงจุดสร้างความเคลือบแคลงใจให้กับสังคมได้อย่างไร ? ซึ่งล่าสุดเมื่อวานนี้นายกฯได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้ขึ้นด้วยแล้ว ซึ่งเป็นการใช้อำนาจเพื่อถ่วงดุลอำนาจ มีประเด็นที่สังคมตั้งคำถามถึงเรื่องนี้ว่าแม้ว่าประจักษ์พยานจะทำให้อัยการไม่มีความเห็นสั่งฟ้อง แต่ก็สามารถให้กลับไปทบทวนพยานหลักฐานได้เพิ่มเติมหรือไม่?
ดังนั้นเรื่องนี้ทางอัยการอาจต้องเดินอย่างรอบคอบและตอบคำถามให้กับสังคมอย่างตรงไปตรงมาถึงประเด็นต่างๆ? และหากเรื่องนี้ถูกนำมารื้อฟื้นอีกครั้งก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าจะมีการดำเนินคดีอย่างเต็มที่ เพราะเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ค้านสายตาอาจทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายลดลงและทำให้ประชาชนฝ่าฝืนกฎหมายมากขึ้น ที่สำคัญที่สุดอาจเป็นฟาง
เส้นสุดท้ายให้กับจุดแตกหักของประชาชนและรัฐบาล
อย่างที่กล่าวมาในข้างต้นไม่ว่าจะมีประเด็นทางสังคมอะไรฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลพร้อมจะหยิบยกข้อผิดพลาดดังกล่าวมาขยายความเพื่อหวังผลทางการเมืองเสมอมา ไม่เว้นแต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้ก็มีประชาชนหลายฝ่ายที่มีข้อกังวลว่าหากฝ่ายการเมืองยังใช้วิธีการเช่นนี้ในการเรียกความสนใจจากมวลชนนั่นอาจเป็นการสร้างประชาชนที่ไม่ได้ใส่ใจในข้อเท็จจริง แต่สนใจในเรื่องนั้นๆ ที่กระแสสังคมชักจูงมากกว่า ขณะที่สังคมเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วข่าวสารพรั่งพรูและมาจากหลายแหล่งผ่านโซเชียล และหลายส่วนปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกร่วมจนอาจเกินเลยข้อเท็จจริงไป เราจึงควรมีวิจารณญาณในการวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่จุดแก้ปัญหาอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม จริงอยู่ว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ไม่ได้มีเพียงนายกฯที่เป็นผู้รับผิดชอบผู้เดียว ประชาธิปไตยที่มีการแบ่งอำนาจอย่างชัดเจน และหน่วยงานต่างๆ ก็ทำงานได้อย่างอิสระตามกฎหมาย แต่ในฐานะผู้นำ ท่านนายกฯก็ไม่อาจจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ทั้งในส่วนการหาช่องทางที่ถูกต้องเพื่อไปสร้างกระบวนการหาข้อเท็จจริงอย่างรวดเร็วและสร้างควายุติธรรมให้กับผู้บริสุทธิ์ ตลอดจนอาจต้องออกมาเป็นวาระแห่งชาติในการสร้างความเชื่อมั่นให้กระบวนการยุติธรรมกลับมา
สิ่งสำคัญคือ ต้องเร่งการตรวจสอบและจัดการปัญหาและทำความเข้าใจให้กับประชาชน และเริ่มกระบวนการสร้างความเชื่อมั่นในระบบและกระบวนการยุติธรรมทันทีโดยอาจต้องสร้างการศึกษาไปพร้อมกับประชาชนอย่างมีส่วนร่วม เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองในยามยากอย่างนี้
ขณะนี้ปัญหาเศรษฐกิจก็แย่อยู่แล้ว ปัญหาโควิดก็ยังระบาดหนักทั่วโลกเพียงแต่เราไม่รู้สึกเพราะประเทศไทยควบคุมได้ แต่ปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบจากการค้าโลกกำลังจะเกิดขึ้น ภาคการท่องเที่ยวสำหรับต่างประเทศแทบจะเรียกว่าหยุดสนิทต้องปรับตัวมาหาลูกค้าในประเทศที่กำลังจะไปได้ดีตอนนี้ แต่หากเศรษฐกิจต้องมาสะดุดอีกเพราะความขัดแย้งของประชาชนแบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ครั้งนี้จะกระทบหนักกว่ามากขึ้นเพราะปัจจัยพื้นทางเศรษฐกิจเปราะบางมากแล้ว
“แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาโลก”
โจโฉ สามก๊ก ฉบับวณิพก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี