ความยุติธรรมมีอยู่จริงในสังคมไทยหรือ คำถามนี้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าผู้ตั้งคำถามเช่นนี้น่าจะมีข้อเคลือบแคลงสงสัยในความยุติธรรมของสังคมไทยไม่มากก็น้อย การตั้งคำถามเช่นนี้นับว่ามีประโยชน์มาก ถ้าหากผู้ตั้งคำถามนี้ไม่ได้ตั้งคำถามเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่เป็นการตั้งคำถามเพื่อผลประโยชน์ของสาธารณชน
คนที่ร้องตะโกนหาความยุติธรรม เมื่อตนเองตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่กลับไม่เคยตั้งคำถามหรือคำนึงถึงความยุติธรรมแม้แต่น้อย ในเวลาที่ตนเองเป็นฝ่ายกระทำต่อผู้อื่น คนพรรค์อย่างนี้ไม่ใช่ผู้ยึดมั่นและศรัทธาในความยุติธรรมโดยแท้ แต่ทว่าเป็นแค่เพียงคนผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น
ความยุติธรรมที่แท้จริงของสังคมมนุษย์ต้องไม่จำกัดอยู่แค่เพียงผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือเพื่อความอยู่รอดของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องเป็นผลประโยชน์ของคนทุกคน และทุกสรรพสิ่งในสังคม
แม้คำว่าความยุติธรรมจะมีความเป็นนามธรรมสูงมาก แต่ถึงกระนั้น ผู้คนที่มีความละเอียดอ่อนของจิตใจโดยแท้ก็สามารถสัมผัสและรับรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่ายุติธรรมได้โดยสัญชาตญาณ ด้วยความรู้สึก โดยไม่ได้มองว่าความยุติธรรมเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง
ขอถามคุณๆ ผู้อ่านว่า คุณเคยตั้งคำถามนี้หรือไม่ สังคมไทยมีความยุติธรรมจริงๆ หรือ หากคุณเคยตั้งคำถามเช่นนี้ ขอถามคุณต่อไปว่า คุณตั้งคำถามนี้ด้วยเหตุผลใด แล้วขอถามต่อไปด้วยว่า คุณยังเชื่อมั่นและศรัทธาในความยุติธรรมอยู่หรือไม่
ถ้าเช่นนั้นผู้เขียนขอถามต่อไปอีกว่า คุณคิดว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมีปัญหาหรือไม่ และมีอีกหนึ่งคำถามสำคัญคือ คุณเชื่อมั่นในตัวบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมไทยทุกคนหรือไม่
มีคำถามพื้นๆ คือ หากกระบวนการยุติธรรมของไทยไม่มีปัญหา แล้วทำไมจึงมีคดีความต่างๆ ค้างคาอยู่บนศาล โดยเฉพาะคดีอาญาค้างคากว่า 7 แสนคดี ส่วนคดีแพ่งยังค้างคาอีกกว่า2 ล้านคดี เรื่องนี้ยิ่งขุดคุ้ยก็ยิ่งพบประเด็นปัญหามากมายจนเกินจะบรรยาย
แต่ยังมีอีกประเด็นที่น่าคิดน่าค้นมากคือ ทำไมผู้ต้องขังในประเทศไทยจึงมีจำนวนมากมายจนกลายเป็นปัญหาคนล้นคุก แล้วคนที่ติดคุกทุกคนคือคนทำความผิดจริงหรือไม่ ส่วนคนบางคนที่สังคมมั่นใจว่ากระทำผิดจริง แล้วทำไมไม่ติดคุก เรื่องนี้ก็น่าค้นหาคำตอบเช่นกัน
คุณคงพอจะทราบบ้างแล้วใช่ไหมว่า คนจำนวนไม่น้อยต้องถูกคุมขังหรือติดคุกเพราะไม่มีเงินประกันตัว ซึ่งคนกลุ่มนี้เรียกว่าผู้ต้องคดีระหว่างขัง หรือระหว่างฝากขัง ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังไม่ได้ถูกพิพากษาเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่กลับถูกกักขังไว้ก่อน ดังนั้นก็เข้าตำราว่า คุกไทยใช้ขังคนที่ยังถือว่าบริสุทธิ์จำนวนไม่น้อย จากสถิติพบว่าผู้ต้องขังทั่วประเทศของไทยมีจำนวนประมาณ 3 แสน 5 หมื่นคนซึ่งมีประมาณร้อยละ 20 หรือราวๆ 7 หมื่นคน เป็นผู้ต้องขังจำพวกฝากขัง ดังนั้นจึงมีคำถามว่า ก็ในเมื่อยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วทำไมจึงนำตัวของคนเหล่านั้นไปกักขังในคุกได้ คำตอบคือ นี่เป็นเพราะผลของกระบวนการยุติธรรมไทย แล้วก็นำไปสู่คำพูดที่ว่า คุกไทยมีไว้ขังคนจน แล้วก็มีคนบางกลุ่มพูดแรงกว่านี้คือ คุกไทยมีไว้ขังหมาเมื่อมีประเด็นเช่นนี้ขึ้นมาก็จึงทำให้เกิดคำถามตัวโตๆ ว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยเชื่อถือได้จริงๆ หรือ
คำอีกคำหนึ่งที่สังคมไทยพูดกันบ่อยๆ คือกฎหมายไทยเอาผิดคนรวยล้นฟ้า และคนมีอำนาจรัฐ และอำนาจอิทธิพลเถื่อนไม่ได้ จนทำให้เกิดข้อสรุปว่า คุกไทยมีไว้ขังคนจน นี่คือคำพูดที่สะท้อนความรู้สึกของคนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทย และสะท้อนกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย และที่สำคัญคือสะท้อนตัวบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมของไทยด้วย
ตัวอย่างกรณีขับรถยนต์ไปชนคนจนถึงแก่ความตาย เรื่องนี้หากคนรวยก่อคดีนี้ เขาจะได้รับการประกันตัว เพราะเขามีเงินประกันตัวได้ ส่วนคนจนที่ไม่มีปัญญาหาเงินไปประกันตัว ก็ต้องติดคุกไปก่อน ดังนั้นจึงพบเสมอๆ ว่าคนมีเงินหรือคนรวยมักจะรอดจากคุกได้ง่ายกว่าคนจน และอาจจะพูดไกลไปจนถึงว่าคนรวยสามารถหลุดรอดจากความผิดในการพิจารณาคดีในกระบวนการยุติธรรมได้ง่ายกว่าคนจน
สาเหตุที่คนรวยไม่ต้องติดคุกทั้งๆ ที่ทำความผิดฐานเดียวกับคนจนก็เพราะกลไกในกระบวนการยุติธรรมของไทยกำหนดไว้ เช่น การประกันตัวผู้กระทำความผิด มีการพิจารณาหลักทรัพย์ในการขอประกันตัว โดยการเรียกหลักทรัพย์ประกันก็มาจากฐานความผิด แต่ไม่เคยดูถึงเศรษฐสถานะของผู้กระทำความผิด เมื่อเป็นเช่นนี้คนรวยกับคนจนก็ต้องจ่ายเงินประกันตัวในวงเงินเท่ากัน ดังนั้นคนที่ไม่มีเงินจ่ายค่าประกันก็ต้องติดคุกไปก่อน
ถามว่าเมื่อคนรวยจ่ายเงินค่าประกันตัวแล้ว คนรวยจะกลับมาฟังคำพิพากษาหรือไม่ คำตอบก็เห็นชัดๆ อยู่แล้วว่า คนรวยจำนวนมากที่ต้องคดี ก็หลบหนีคดีไปเลย อย่าลืมว่าคนรวยมีเงิน เพราะฉะนั้นเมื่อเขามีเงินและมีช่องทางหลบหนีคดีได้ เขาก็ไม่มีทางอยู่ให้ต้องรับโทษส่วนคนไม่มีเงินนั้น นอกจากไม่มีเงินประกันตัวแล้ว ยังไม่มีปัญญาหลบหนีออกนอกประเทศได้อีก
ถามต่อไปว่า เรื่องพื้นๆ เช่นนี้ ทำไมบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมไทยไม่มีปัญญารับรู้เรื่องเช่นนี้ หรือว่ารู้อยู่เต็มอก แต่ก็ไม่เคยนำพากับข้อเท็จจริงดังกล่าว เพราะไม่เคยสนใจความเดือดร้อนของคนยากคนจน คนตัวเล็กตัวน้อย หรือบางคนก็วิพากษ์ว่ารู้ แต่ก็ปล่อยให้เกิดปัญหานี้ต่อไป เพราะเมื่อปล่อยปัญหานี้ไว้แล้วอาจทำให้บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมบางคนได้ผลประโยชน์ส่วนตัวและทำให้เกิดอาชีพนายหน้าประกัน รวมถึงพวกตีนโรงตีนศาล
หากกระบวนการยุติธรรมของไทยไม่มีปัญหาจริงๆ ปัญหาต่างๆ ตามที่ระบุในข้างต้นนี้ก็น่าจะหมดสิ้นไปจากสังคมไทยตั้งนานแล้ว อันที่จริงนั้น ได้มีความพยายามมานานแล้วที่จะปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งก็ได้มีการปรับปรุงมาเป็นลำดับ แต่ก็ยังคงมีปัญหาอยู่อีกมาก สาเหตุหนึ่งที่ไม่สามารถแก้ปัญหาในกระบวนการยุติธรรมไทยได้นั้นก็เพราะบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมของไทยจำนวนไม่น้อยคือต้นเหตุของปัญหา ดังนั้นต่อให้แก้ให้ปรับกระบวนการยุติธรรมอย่างไร ก็ไม่สามาถทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นได้จริง เพราะยังมีตัวอุปสรรคสำคัญคือบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม
มีประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ ส่วนใหญ่ของผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดไม่ทราบสิทธิ์ว่าเขามีสิทธิ์ใดๆ บ้าง เช่น หากไม่มีเงินค่าปรับก็สามารถทำงานแทนค่าปรับได้ เมื่อยอมทำงานแทนค่าปรับก็ไม่ต้องติดคุก ปัญหานี้เกิดจากบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมของไทยจำนวนไม่น้อยไม่แจ้งสิทธิ์ให้ผู้ถูกกล่าวหาว่าการทำผิดได้ทราบ
ต้องขอย้ำว่า ในความเป็นจริงนั้น ในบ้านเมืองของเรามีความพยายามปรับปรุงแก้ไขเพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรมของไทยให้ดีขึ้นมาโดยตลอด แต่อุปสรรคสำคัญอยู่ที่ตัวของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม การจะลดปัญหาและอุปสรรคนี้ลงได้ต้องอยู่ความใส่ใจของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม คือจะต้องแจ้งสิทธิ์ทั้งหมดให้ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดรับทราบทั้งหมด แล้วให้ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ตัดสินใจเลือก ไม่ใช่ปกปิดการแจ้งให้รับรู้สิทธิ์ แล้วเร่งรัดทำคดีให้ผ่านไป
ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เราจะเห็นว่าประเทศเหล่านั้นมีคนมากมายกว่าไทย แต่ทำไมจำนวนคดีความในศาลของเขามีน้อยกว่าประเทศไทย นั้นเป็นเพราะเขามีกระบวนการที่เหมาะสมที่ทำให้คดีไม่ต้องวิ่งไปสู้ศาลทุกคดี แต่นั้นก็หมายความว่าผู้คนในประเทศนั้นต้องมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมอย่างมากเช่นกัน ซึ่งความมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของประชาชนก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและความประพฤติของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมเป็นสำคัญ แต่สำหรับในประเทศไทยนั้น คนจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยจะให้ความไว้วางใจ และให้ความเชื่อมั่นในตัวของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมมากนัก ดังนั้นจึงนำไปสู่เรื่องที่ผู้เสียหายนำคดีไปฟ้องร้อง เนื่องจากไม่ไว้วางใจในตัวอัยการ และยังไม่เชื่อมั่นในระบบราชการอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้คดีความในประเทศไทยมีจำนวนมากจนล้นศาล
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการฟ้องร้องเพื่อกลั่นแกล้งกัน เช่น ฟ้องร้องเพื่อบังคับให้ชดใช้หรือชำระหนี้สิน ซึ่งเรื่องทำนองนี้คือมูลเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้คดีความล้นศาล
อย่างไรก็ตาม เรื่องการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีนั้น ต้องมีหลักการและหลักเกณฑ์ที่อัยการสามารถตอบคำถามสังคมโดยกระจ่างชัดได้ ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจ หรือทำตามอำนาจรัฐ อำนาจเงิน และอำนาจเถื่อนอื่นๆ เมื่อสังคมไว้วางใจอัยการก็จะทำให้สังคมหมดความสงสัยในกระบวนการยุติธรรมได้ในระดับหนึ่งแล้วก็ทำให้คดีความไม่ขึ้นไปรกโรงรกศาล
ปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่เกิดขึ้นมานานแล้วคือ คนจำนวนไม่น้อยไม่ไว้วางใจกระบวนการยุติธรรม หรือหากจะพูดให้ตรงประเด็นคือ คนไทยจำนวนไม่น้อยไม่ศรัทธาตัวของบุคลากรจำนวนหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม หากยังคงปล่อยให้เกิดปัญหาเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แล้ว จะนำไปสู่ปัญหาความไร้เสถียรภาพ ความโกลาหล และอาจเกิดเหตุมิคสัญญีได้ในสังคม
ดังนั้นบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมของไทยจำเป็นต้องสร้างความศรัทธา ความไว้วางใจ ความโปร่งใส ความตรงไปตรงมาให้บังเกิดกับสาธารณชนโดยเร็ว หากปล่อยให้เกิดปัญหาไร้ศรัทธา ไร้ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกระบวนการยุติธรรมแล้ว สังคมไทยจะลุกเป็นไฟได้ในอนาคต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี