“หลังโควิดระบาดออกไปบ่อนต่างประเทศไม่ได้ ปอยเปตมาเก๊า ไร้นักพนันไทย เลยเฮโลบ่อนในประเทศรุ่งเรือง วันนี้บ่อนอื่นก็เตรียมตัวซวย ถูกสั่งปิดชั่วคราวเป็นทิวแถวเพราะข่าวยิงกันในบ่อน หากตำรวจจะแถลงรับไปเลยว่ามีบ่อน และยิงกันตาย ตำรวจที่ตายชอบเล่น ไปเจอเจ้าหนี้ทวงกันไปมาเลยของขึ้น ควักปืนยิงล้างหนี้ อย่างนี้จะเหมาะกว่าไปอ้อมแอ้ม คิดๆ แล้ว เปิดถูกกฎหมายให้รู้เรื่องรู้ราวกันไปเลย หมดเรื่องยิงกันตาย”
ส่วนหนึ่งจากบทความ “บ่อนเฮียตี้ 4 ศพ” ซึ่งอดีตนักการเมืองและนักธุรกิจกลางคืนชื่อดัง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เขียนและเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวเมื่อค่ำวันที่ 4 ส.ค. 2563 หลังเกิดเหตุยิงกันที่บ่อนการพนันย่านพระราม 3 กรุงเทพฯ ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 4 ศพโดยหนึ่งในนั้นเป็นตำรวจ เมื่อช่วงดึกของวันที่ 3 ส.ค. 2563ที่ผ่านมา จุดประเด็นที่คนไทยรับรู้กันอย่างชินชาไปแล้วนั่นคือ “กฎหมายไทยห้ามเปิดบ่อน..แต่หลายคนก็รู้ว่าเมืองไทยมีบ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง” ขึ้นมาอีกครั้ง
และในเมื่อรับรู้กันอย่างนี้แล้ว อย่ากระนั้นเลย “เปิดให้ถูกกฎหมาย” จะดีกว่าหรือไม่ แต่เรื่องนี้ถูกพูดถึงกันมาหลายรัฐบาลซึ่งทุกครั้งจบลงด้วย “วิวาทะ”ถกเถียงอย่างดุเดือดในสังคมเสมอไป ระหว่าง“ฝ่ายสนับสนุน” ที่เห็นว่าไหนๆ ก็ห้ามไม่ได้แล้ว แทนที่จะปล่อยให้เม็ดเงินอยู่ใต้ดินไปเข้ากระเป๋าใครบ้างก็ไม่รู้สู้นำเข้าระบบเป็นรายได้ของรัฐเพื่อพัฒนาสังคม ดีกว่า ภายใต้ระบบควบคุม เช่น คัดกรองให้คนที่มีฐานะดีระดับหนึ่งเท่านั้นจึงมีสิทธิ์เข้าไปเล่นได้ และให้เล่นเฉพาะเท่าที่มีเงินมา หมดต้องเลิกห้ามระบบเงินเชื่อ (Credit) กู้ยืมมาเล่นจนเป็นหนี้สินเด็ดขาด
กับ “ฝ่ายคัดค้าน” ที่มองเห็นโทษภัยของการพนัน ซึ่งเคยปรากฏทั้งที่เป็นข่าวและเรื่องเล่าอยู่ไม่น้อย ว่าแม้จะเป็นคนร่ำรวยล้นฟ้าก็ถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวได้หากติดการพนัน และการล่มจมดังกล่าวก็ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะตัวผู้เล่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงครอบครัวด้วยที่คุณภาพชีวิตย่อมย่ำแย่ลงจากสถานะทางเศรษฐกิจที่ด้อยลง อีกทั้งไม่เชื่อมั่นในมาตรการควบคุมของทางการไทยว่าจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่าประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย
ทีมงาน “แนวหน้า” มีโอกาสสอบถามเรื่องนี้กับคุณชูวิทย์ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า “คงเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริงที่จะมีบ่อนการพนันหรือกาสิโนถูกกฎหมายเกิดขึ้นในประเทศไทย” ด้วยเหตุที่ “สังคมไทยยังไม่ยอมรับความจริง” ว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่ ดังนั้นก็ต้องทำใจกับปัญหาส่วยจากธุรกิจนอกระบบต่อไป แต่สิ่งที่ “น่าเป็นห่วง” กว่าคือ “การพนันออนไลน์” เนื่องจาก “ส่งผลกระทบต่อเยาวชน” ปัจจุบันเป็นธุรกิจที่กำลังรุ่งเรืองมาก รายใหม่ๆ หาลูกค้าได้สัก 10-20 คนก็มีรายได้ดี หักเปอร์เซ็นต์ค่าน้ำได้ 4-5 หมื่นบาท และวิธีการนี้ก็จะแพร่กระจายทำกันไปทั่ว
“สังคมไทยมันดัดจริต คุณมีอาบอบนวดค้าประเวณีอยู่ใจกลางเมืองแล้วบอกว่ากฎหมายไม่มีการค้าประเวณีการพนันมีบ่อนทั่วหัวระแหงก็บอกว่าไม่มี มันเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่เขาได้เงินนอกระบบ ประกอบกับสังคมไทยเป็นสังคมขยิบตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง ชอบแอบทำ กระบวนการยุติธรรมก็อาศัยรายได้จากตรงนี้ ไม่ว่าจะตำรวจ ไม่ว่าจะใครต่อใครที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นต่อไปมันก็เหมือนกับจับได้ก็จับไป แล้วก็เปิดใหม่ ก็เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด มันก็หลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ไป สังคมไทยมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว” คุณชูวิทย์ กล่าว
ขณะที่นักวิชาการผู้ศึกษาปัญหาหวยและการพนันในสังคมไทยมายาวนาน รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา มองว่า การยุให้เปิดบ่อนถูกกฎหมายเพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดเหตุยิงกันตายอีก ข้างต้น ไม่ใช่ความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล “ต้นตอของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากการที่มีตำรวจซึ่งมีพฤติกรรมไม่สุจริต ปล่อยให้มีการเปิดบ่อนการพนันขึ้นได้ทั้งที่เป็นกิจกรรมผิดกฎหมาย” และตามมาด้วยปัญหาอาชญากรรม
ทางออกจึงควรอยู่ที่ “การปฏิรูประบบตำรวจ” และในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ก็กำหนดให้การปฏิรูปตำรวจเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการด้วย โดยทางรัฐบาลเองก็เตรียมผลักดันร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่ ส่วนประเด็นที่มีความคิดเห็นในสังคมทำนองว่า บ่อนการพนันหรือการค้าประเวณีอย่างไรเสียก็ไม่สามารถทำให้หมดสิ้นไปได้ ดังนั้นสู้นำขึ้นมาบนดิน ทำให้ถูกกฎหมายนำเงินรายได้เข้ารัฐแทนที่จะไหลไปอยู่ในมือผู้มีอิทธิพลต่างๆ จะดีกว่าหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ใช่วาระเร่งด่วนของประเทศไทยในขณะนี้
“กาสิโนจะทำให้ถูกกฎหมายมันต้องมาจากเหตุผลอีกบางอย่างที่ไม่ใช่เหตุผลนี้ เหตุผลที่ว่าฆ่ากันในนี้เลยเสนอให้ทำให้ถูกกฎหมายอย่างนี้ไม่ถูก ผมคิดว่าไม่ได้แก้ปัญหาที่รากเหง้าของปัญหา รากเหง้าของปัญหาก็คือการที่มีตำรวจที่ไม่สุจริตไปส่งเสริมให้เกิดบ่อนการพนันผิดกฎหมาย ไปเรียกค่าคุ้มครอง เพราะฉะนั้นต้องแก้ด้วยการที่ไปผลักดันให้เกิดการปฏิรูประบบงานตำรวจให้มีความโปร่งใส สุจริต” อาจารย์สังศิต กล่าว
อีกด้านหนึ่ง นักการเมืองที่เป็นสีสันประจำสภายุคนี้อย่าง “พี่เต้ พระราม 7” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เดินหน้าขายไอเดีย “เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex)” อย่างต่อเนื่อง โดยหวังว่า หากมีบ่อนการพนันถูกกฎหมายจะแก้ปัญหารายได้นอกระบบที่มีหลายฝ่ายเข้าไปเกี่ยวข้อง รวมถึงจัดเก็บภาษีคนไทยที่เล่นการพนันออนไลน์ที่มีต้นทางของบ่อนอยู่ในต่างประเทศเพื่อเป็นอีกช่องทางหารายได้เข้ารัฐ
“เมื่อต่างประเทศเปิดบ่อนออนไลน์และมีคนไทยเล่นจำนวนมาก คนเปิดถูกกฎหมาย แต่คนเล่นผิดกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่มีการจัดเก็บภาษี ซึ่งทางกรมสรรพากรยังงงอยู่ แนะนำว่าการจัดเก็บภาษีจะไปเก็บจากผู้ค้าออนไลน์ได้ประมาณปีละไม่เกิน 5-6 พันล้าน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีรายรับไม่พอรายจ่าย และรายได้จากการท่องเที่ยว และการส่งออกหายไป อย่างไรก็ตามถ้ารัฐบาลมีแนวคิดที่จะทำสิ่งที่มีอยู่ให้ถูกกฎหมาย และนำภาษีเข้ารัฐน่าจะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวม” สส.คนดังผู้นี้ กล่าว
อนึ่ง ใช่ว่าบนแผ่นดินไทยไม่เคยมีบ่อนการพนันถูกกฎหมาย โดยหากย้อนไปในยุคสังคมทาส มีบันทึกทั้งของชาวไทยและชาวต่างชาติชี้ว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยเข้าบ่อนเล่นการพนันกันจนหมดเนื้อหมดตัวถึงขั้นต้องขายตนเองหรือแม้แต่ลูก-เมียเป็นทาส ดังนั้นเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการเลิกทาส จึงทยอยยกเลิกบ่อนการพนันไปพร้อมกันด้วย ต่อมาในเดือน ก.พ. 2488 สมัยรัฐบาลควงอภัยวงศ์ เคยทดลองเปิดกาสิโน แต่เปิดได้เพียง 4 เดือน ก็ต้องปิดในเดือน มิ.ย. ปีเดียวกัน เพราะคนไทยจำนวนมากยังเล่นกันจนหมดเนื้อหมดตัวตามเคย บางคนถึงขั้นฆ่าตัวตาย
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” จึงขอทิ้งคำถามให้ท่านผู้อ่านลองคิดกันดู “คนไทย 2563” พร้อมหรือไม่หากจะมีบ่อนถูกกฎหมาย?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี