หลังจากการนับผลคะแนนการเลือกตั้งซ่อม จังหวัดสมุทรปราการเขต 5 ที่พึ่งสิ้นสุดลงไป นายกรุงศรีวิไลสุทินเผือก ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐก็สามารถนำชัยชนะกลับมาได้อีกครั้งแบบคะแนนทิ้งห่าง โดยได้คะแนนถึง 46,747 คะแนน ทิ้งห่างจากอันดับที่ 2 ตัวแทนจาก พรรคเพื่อไทย มากถึง 25,000 คะแนน โดยมีตัวแทนจากพรรคก้าวไกล และตัวแทนจากพรรคเสรีรวมไทย เรียงกันตามลำดับ ซึ่งการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้เป็นผลมาจากการให้ใบเหลืองของ กกต. เมื่อพิจารณาดูการเลือกตั้งซ่อมหลายครั้งที่ผ่านมาในรัฐบาลนี้ จะเห็นได้ว่าผู้ชนะส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเรื่องนี้กำลังสะท้อนความนิยมของพรรคพลังประชารัฐในพื้นที่ต่างจังหวัดหรือไม่ และยิ่งไปกว่านั้นผลคะแนนที่ได้รับสูงกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนอย่างมีนัยสวนทางกับทางฝั่งพรรคก้าวไกล หรืออดีตอนาคตใหม่ที่ดูเหมือนกระแสดีในโซเชียลแต่เมื่อพูดถึงคะแนนนิยมที่วัดโดยผลการเลือกตั้งในพื้นที่ต่างจังหวัดกลับมีคะแนนที่ลดลงซึ่งอาจสะท้อนเสียงของประชาชน และอาจส่งผลต่อการเตรียมการเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศหรือไม่?
การโปรดเกล้าฯแต่งตั้งรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่แทนตำแหน่งที่ว่าง จากการลาออกของรัฐมนตรีในหลายตำแหน่ง โดยที่เป็นที่จับตามองคือส่วนของรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจ ที่ต้องเตรียมความพร้อมให้ประเทศในการออกมาตรการรองรับวิกฤติเศรษฐกิจที่คาดการณ์ว่าจะยาวนานและหนักกว่าครั้งปี’40 ซึ่งก็มีหลายคนออกมาตั้งคำถามว่าจะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงวิกฤติครั้งใหญ่นี้ได้หรือไม่? ซึ่งหลายคนตั้งตารอดูทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่ได้แสดงฝีมือการทำงาน ตั้งตารอดูที่ว่ามีทั้งประชาชนตั้งตาดูและคนในพรรคพลังประชารัฐตั้งตาดูด้วย เหตุเพราะการกระตุ้นให้ปรับครม.นั้นมาจาก คนในพรรคพลังประชารัฐเอง แต่สุดท้ายนายกรัฐมนตรีก็ได้ตัดสินใจตั้งคนนอกมาเป็นรัฐมนตรี
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอาจจะใกล้เห็นทางออกจากการปรับตัวมาดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในเนื่องจากการเดินทางระหว่างประเทศน่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง ตอนนี้อาจบอกได้ว่าการแพร่ระบาดภายในประเทศไม่มีแล้วและการควบคุมการเดินทางเข้า-ออกทำให้การแพร่กระจายไม่เข้าสู่เขตเมืองทำให้เศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศสามารถพอลืมตาอ้าปากประคับประคองได้ แต่ในทางกลับกันการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในอาจชะงักงันลงอีกครั้งหนึ่งด้วยการปลุกม็อบที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลุ่มเยาวชนปลดแอก จนมีการตั้งคณะประชาชนปลดแอกที่มีการแถลงจุดยืนในเบื้องต้นเรียกร้องให้มีการยุบสภา แก้รัฐธรรมนูญ และไม่คุกคามประชาชน ซึ่งเรื่องข้างต้นหากพูดถึงการยุบสภาก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน และด้วยสภาวะที่ล้มลุกคลุกคลานของประเทศตอนนี้ การตั้งรัฐบาลใหม่ก็เหมือนเปลี่ยนม้ากลางศึกซึ่งเป็นเรื่องที่อาจสร้างความเสียหายให้กับประเทศมากขึ้น การชุมนุมถูกยกระดับให้ใหญ่ขึ้นมีผู้เข้าร่วมที่มากกว่ากลุ่มนิสิต นักศึกษา แต่รวมไปถึงประชาชนทั่วไป มีการนัดชุมนุมเป็นระลอกตามพื้นที่ต่างๆ
ซึ่งนัยทางการเมืองก็เรื่องหนึ่งแต่ผลกระทบของการเคลื่อนไหวทางการเมืองจากการชุมนุมพอจะคาดเดาได้ จากอดีตทุกครั้งที่มีการชุมนุมก็คือผลกระทบทางเศรษฐกิจ และการใช้เสรีภาพในการชุมนุมจนอาจกระทบต่อเสรีภาพของผู้อื่น ซึ่งในสัปดาห์ที่แล้วก็มีการควบคุมตัว 2 แกนนำ คือทนายอานนท์ และนายภานุพงศ์ ในข้อหาปลุกปั่นทำให้เกิดความไม่สงบ จัดกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากเสี่ยงต่อการสัมผัส และข้อหาอื่นๆรวมทั้งสิ้น 7 ข้อหา เหตุการณ์นี้นั้นเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความไม่พอใจและยกระดับมาสู่เวทีการชุมนุมธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นัยหนึ่งคือเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย แต่อีกนัยหนึ่งการควบคุมตัวครั้งนี้อาจเป็นการเติมเชื้อไฟ เป็นเหตุให้มีการชุมนุมต่อ
และต้องตั้งคำถามต่อว่า คำว่าแอกที่เยาวชนกลุ่มนี้อ้างว่าต้องการจะปลดออกมันคืออะไร? และ #ถ้าไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส ทาสของใคร? แอกที่ใช้ในการคุมขังก็ไม่ได้มีอยู่จริงหากแต่เป็นการขยายประเด็นจากข้อเรียกร้องเดิมใช่หรือไม่? เมื่อผ่านเวทีการชุมนุมที่มากขึ้นจะเห็นได้ว่าประเด็นของการยุบสภาเริ่มจางหาย ประเด็นหยุดคุกคามประชาชนก็ไม่ได้มีให้เห็นชัดเจนว่ามีการคุกคาม ความไม่เป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมที่ว่า รัฐบาลนี้ก็กำลังตั้งกรรมการสอบและอาจต้องรอผลเพื่อจะชี้ว่ารัฐบาลจริงจังแค่ไหนต่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การแก้รัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์เองก็เห็นด้วยแต่ก็ต้องเป็นไปตามที่กระบวนการก็คือขั้นตอนของสภาที่จะต้องดำเนินการให้เป็นรูปธรรม จึงเป็นคำถามที่ว่า เป้าหมายของการเคลื่อนไหวไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อล้มรัฐบาล แต่กำลังก้าวไปถึงเรื่องใดกันแน่โดยเฉพาะคืนวันจันทร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์?
โดยก่อนหน้านี้มีการปูประเด็นการปลุกระดมให้คนไม่เข้ารับปริญญา? และยังมีการแจกใบปลิวแถลงการณ์ถึงการปฏิรูปสถาบันฯ 10 เรื่อง และการจัดกิจกรรมตลอดจนถ้อยคำบางถ้อยคำบนเวทีที่หลายฝ่ายกำลังแสดงความกังวลใจว่าการพูดถึงสถาบันในมุมมองที่ล่อแหลม และอาจเสี่ยงที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันและอาจก่อปัญหาอื่นซ้อนขึ้นมาอีก
เพราะหากต้องการจะแสดงพลังบริสุทธิ์ในการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการบริหารประเทศก็ควรพุ่งเป้าไปที่การบริหารประเทศ หรือหากไม่พอใจบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องสิทธิเสรีภาพก็ควรว่าไปตามเนื้อหา แต่การก้าวล่วงไปถึงพระราชอำนาจและเลยเถิดไปถึงเรื่องของการปฏิรูปสถาบันที่อาจไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่จะรับได้ ที่สุดแล้วความฮึกเหิมปลุกเร้ามวลชนในที่ชุมนุมแต่อาจกลายเป็นแผลในใจให้กับใครหลายคนที่คิดจะออกมาร่วมชุมนุมเพื่อเรียกร้องการบริหารประเทศที่ดีขึ้น และอาจถูกเหมารวมว่าเป็นกลุ่มคนต่อต้านหรือคิดล้มล้างสถาบันของประเทศ อาจสูญเสียเจตนาบริสุทธิ์ในการชุมนุมของอีกหลายคน
นอกจากนี้อาจถูกมองว่าการจัดเวทีเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์หรือเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่? เพราะเมื่อดูเบื้องหลังการเคลื่อนไหวของส่วนเนื้อหาในช่วงที่เกี่ยวกับการต่อต้านนั้นมีการติดต่อกันระหว่างแกนนำและกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อล้มสถาบันในต่างประเทศหรือไม่ ปัญหาที่น่าเป็นห่วงคือเครือข่ายผู้ชุมนุมให้เหตุผลในการประท้วงรัฐบาลผ่านการปราศัยข้อผิดพลาดต่างๆในการบริหารงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ความอยุติธรรมในสังคม หรือการทุจริต และการเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เปิดด้วยประเด็นที่มา สว. แต่สุดท้ายกลับตามมาด้วยการปฏิรูปสถาบันฯ ที่ลงรายละเอียดไปมาก เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและอาจปะทุเป็นความรุนแรงในสังคมได้
รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ กำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ถือเป็นรัฐบาลที่รับศึกหนักทั้งจากเศรษฐกิจ ภัยจากโรคระบาด และการเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชนที่เห็นต่าง ไปถึงเรื่องที่ไม่ควรขัดแย้งกัน ทั้งภาระหน้าที่ในการบริหารและการประคับประคองความมั่นคงภายในประเทศ แต่สิ่งที่จะทำให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ต่อไปได้คือความเชื่อมั่นของประชาชน และผลงานในการบริหารประเทศที่เป็นสิ่งที่ท่านจะต้องทำให้ประชาชนเห็น ก็เชื่อว่าจะก้าวผ่านปัญหาไปได้
“ที่ฆ่าคนคือคน! อาวุธที่น่ากลัวหรือไม่? สำคัญสุดต้องดูว่า มันอยู่ในมือผู้ใด”
โกวเล้ง เหยี่ยวเดือนเก้า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี