จากรายงาน ธปท. ที่บอกว่า IMF ประเมินเศรษฐกิจโลกปี 2563 จะหดตัวที่ร้อยละ 3 โดยจะต่ำสุดในไตรมาสที่ 2 และเลวร้ายที่สุดนับแต่ปี1930 และถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งประเทศเศรษฐกิจหลักและประเทศกำลังพัฒนาเข้าสู่ภาวะถดถอยพร้อมกัน ประเมินมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกในปี 2563 และ 2564 ไว้สูงถึงกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. เศรษฐกิจไทยคือหนึ่งในทุกประเทศที่ดิ่งลงเช่นกัน และสถานการณ์กำลังท้าทายการตัดสินใจของรัฐบาลต่อการใช้งบซื้อเรือดำน้ำ?
ก่อนหน้านี้ ธปท. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะหดตัวที่ร้อยละ 5.3 โดยยังมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะหดตัวมากกว่านี้ แต่ล่าสุดตัวเลขที่ประกาศจากสภาพัฒน์ที่ประเมินว่าจีดีพีในไตรมาส 2 ของปีนี้ลดลงต่อเนื่องจาก 2.0% ในไตรมาสที่ 1และคาดว่าประมาณการจีดีพีทั้งปีจะอยู่ที่ติดลบ 7.5% ผู้มีงานทำลดลง อีก 7 แสนคน จากไตรมาสแรก ทั้งในและนอกภาคการเกษตร นอกจากนี้ที่เหลืออีกประมาณ 1.7-1.8 ล้านคนที่มีความเสี่ยงที่จะถูกเลิกจ้าง
โดยเลขาฯสภาพัฒน์ บอกว่า ตอนนี้แม้จีดีพีจะยังไม่แตะจุดแย่สุดที่เคยมีคือ-12.5% เมื่อปี 2540 ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง แต่ครั้งนั้นทั่วโลกไม่ได้โดนด้วยและเรายังมีปัจจัยบวกที่จะฟื้นเศรษฐกิจจากการส่งออก และการท่องเที่ยว ที่มีความได้เปรียบจากค่าเงิน แต่ครั้งนี้ยังคาดเดาจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจโลกไม่ได้ และนั่นจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจของไทยอย่างแน่นอน
ที่ผ่านมาโดยเฉพาะช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ’40 ประเทศไทยพึ่งพาเศรษฐกิจจากต่างประเทศสูงมากโดยเฉพาะภาคส่งออก ที่ได้อิทธิพลบวกช่วงต้นจากค่าเงินบาทที่ต่ำหลังวิกฤติต้มยำกุ้งทำให้สินค้าไทยราคาถูก มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และกลายเป็นแหล่งลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อกิจการในไทยที่ประสบปัญหาหนี้จากวิกฤติครั้งนั้น ประกอบกับค่าครองชีพและสินค้าที่ถูกลงในสายตาชาวต่างชาติเมื่อร่วมกับมาตรการการส่งเสริมการท่องเที่ยวจนกลายมาเป็นธุรกิจหลักในการสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมากในช่วงหลังมานี้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนที่มีกำลังซื้อและออกนอกประเทศมากขึ้น
แต่ผลจากโควิด การปิดประเทศที่มีความจำเป็นจากระบบสาธารณสุข และนานาชาติก็ใช้มาตรการนี้แล้วได้ผลเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม การปิดประเทศส่งผลกระทบต่อ การลงทุนและการท่องเที่ยวในไทยอย่างชัดเจน สะท้อนปัจจัยต่างประเทศมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทย สภาพัฒน์เองยังมองด้วยว่าทุกวันนี้ที่อยู่รอดมาได้ก็ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก
สถานการณ์ที่เลวร้ายจากโรคโควิดแม้ในไทยจะไม่ได้พบมากนักในผลทางสาธารณสุขแต่สิ่งที่หนีไม่พ้นคือผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลกจนถึงขั้นส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้รัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกต้องเร่งอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในอัตราที่สูงต่อจีดีพีและในไทย รัฐบาลก็ทำเช่นนั้นตั้งแต่ต้นปีด้วยมาตรการต่างๆ มากมาย และแน่นอน แลกมาด้วยต้นทุนงบประมาณภาครัฐที่ร่อยหรอลงไปทุกที
สำหรับกลุ่มเปราะบางที่รัฐช่วยเป็นอันดับต้นๆ ช่วงปิดประเทศจากโควิด คือกลุ่มแรงงาน อันเนื่องจากกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในช่วงปรับตัวมีการลดกำลังการผลิต หรือหยุดกิจการชั่วคราวหลายที่ ไปจนถึงปิดกิจการถาวรและไม่ว่าแบบใดมักจบลงด้วยการลดพนักงานและการเลิกจ้าง เพื่อลดต้นทุนรักษากิจการไว้ก่อน มาตรการที่รัฐบาลออกมาช่วย โดยในส่วนแรงงานในระบบประกันสังคม แรงงานในระบบได้รับเงินชดเชยตามเกณฑ์ประกันสังคม และการลดหย่อนต่างๆ จากสำนักงานประกันสังคม ขณะที่แรงงานนอกระบบและอาชีพอิสระ กระทรวงการคลังได้เข้ามาจ่ายเงินเยียวยาแก่ลูกจ้างชั่วคราวและอาชีพอิสระรายละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ภายใต้โครงการ“เราไม่ทิ้งกัน” อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็รู้ว่านี่คือการชะลอเวลาปัญหาชั่วคราว ในขณะที่ต้องยอมรับว่าปัญหายังคงอยู่
มิติด้านแรงงานนี้เป็นโจทย์ที่ท้าทายของรัฐบาล เพราะกลุ่มแรงงานนี้อาจจะได้รับผลกระทบระยะยาวเพราะหากเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวในระยะใกล้นี้ จะทำให้กลุ่มนี้หางานได้ยากขึ้นในขณะเดียวกันหากยังไม่สามารถประเมินจุดจบสถานการณ์ได้จะบริหารจัดการกับปัญหาในส่วนนี้ในระยะยาวได้อย่างไร? เพราะรัฐบาลคงก็ไม่สามารถแจกเงินให้ประชาชนได้ตลอดไป และทางตันด้านงบประมาณอาจกำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้หรือไม่? เพราะในขณะที่มีรายจ่ายออกมาตลอด การเก็บภาษีกับกำลังมีปัญหา
นอกจากนี้ยังมีอีกปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นมากระหน่ำตอนนี้นั่นคือ ปัญหาหนี้สิน ทั้งภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ที่นับเป็นจุดเปราะบางอีกจุดสำคัญของเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้นี้โดยที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับสถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินต่างๆ ภายในประเทศร่วมกันกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทุกประเภท โดยเน้นไปที่การช่วยเหลือสภาพคล่องและปรับปรุงโครงสร้างหนี้ อาทิ ให้เงินหมุนเวียนเพิ่ม พักชำระหนี้ชั่วคราว ขยายเวลาชำระหนี้ลดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำ และเพิ่มวงเงินชั่วคราวสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล อย่างไรก็ดีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จะสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อสถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องมีบทบาทเชิงรุก รวมทั้งลูกหนี้ให้ความร่วมมือ เข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพิ่มเติมโดยเร็ว
ซึ่งแม้ ธปท.บอกว่า จะติดตามและผลักดันการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ แต่ความจริงย่อมไม่เป็นเช่นนั้นเพราะฝั่งรายได้ของภาคธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และของประชาชนไม่ดีขึ้นเลย แต่ที่สำคัญอีกส่วนคือมาตรการสินเชื่อฉุกเฉินให้กับเพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 โดยออมสินและ ธ.ก.ส. ที่ได้กำหนดให้ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน ซึ่งเงื่อนไขบางเรื่องนี้กำลังจะหมดลงตามระยะเวลาที่กำหนดเร็วๆ นี้ ภาครัฐ จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ทั้งหนี้ที่ค้างชำระของประชาชน รวมถึงรายได้ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาชำระหนี้หรือเพียงพอจะเลี้ยงตนเองและกิจการ จนไปถึงการทยอยปิดกิจการเพื่อลดต้นทุน และที่สำคัญเมื่อถึงรอบมาตรการทางการเงินและการคลังเหล่านี้แล้วประเทศจะดำเนินต่อไปอย่างไร รัฐบาลจะต่อมาตรการไหนอย่างไร หรือจะมีมาตรการใหม่อะไรไหม?
จึงเป็นที่น่าสนใจว่า ผู้ว่าการธปท.คนใหม่ และรัฐมนตรีคลังคนใหม่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งไป จะมีนโยบายในการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่นี้ได้อย่างไร เหตุการณ์นี้ มองได้เป็นทั้งโอกาสและวิกฤติของประเทศ เนื่องจากทั้ง 2 คน อาจจะมาพร้อมกับวิธีการจัดการแก้ปัญหาวิกฤติครั้งนี้ในแนวใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้น แนวใหม่อาจดีกว่าเดิมหรือวิกฤติหนักขึ้น เพราะต้องยอมรับด้วยว่าช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญเพราะคือรอยต่อของทั้งชุดมาตรการและรอยต่อของการเปลี่ยนแม่ทัพทางการเงินและการคลังพร้อมๆ กัน จึงเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายสำหรับโจทย์ที่ทั้งสองได้รับในช่วงที่เครื่องจักรเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมีเพียงการลงทุนภาครัฐ แต่เงินในประเทศกำลังร่อยหรอ ภาษีก็จัดเก็บไม่ได้ตามเป้า ในขณะที่ฝั่งเศรษฐกิจภาคประชาชนก็ยังไม่ฟื้น
นอกจากโควิดที่เป็นตัวต้นตอปัญหาสำคัญของวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลกแล้ว สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนก็กำลังก่อตัวหนักขึ้นและพร้อมจะสร้างแรงเหวี่ยงผลกระทบเศรษฐกิจไปทั่วโลก
จริงอยู่ความมั่นคงของประเทศเป็นสิ่งที่จำเป็นและการรักษาสมดุลระหว่างจีนกับสหรัฐก็เป็นอีกจุดที่สำคัญอย่างมากในยุคสงครามการค้าในปัจจุบันที่อาจบานปลาย แต่อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่จำเป็นและต้องคำนึงถึงมากที่สุดในตอนนี้คือ ความรู้สึกของประชาชนในประเทศที่กำลังประสบวิกฤติ จึงนำไปสู่กระแสต่อต้านการซื้อเรือดำน้ำที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในเวลานี้ เพราะไม่ว่าจะฝ่ายค้านหรือฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลเองบางคนก็ถึงกับออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวน หลายคนที่เป็นห่วงรัฐบาลเองก็อาจจะพอเข้าใจได้ถึงสถานการณ์ความมั่นคงและดุลยภาพทางการเมืองระหว่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังอยากให้ทบทวนชะลอไปก่อน
รัฐบาลน่าจะอยู่ในภาวะกดดันที่จะต้องหาทางออกให้กับปัญหาทั้งสองด้าน แต่ในสภาวะวิกฤติเช่นนี้คงไม่มีอะไรจะสำคัญไปมากกว่าประชาชนที่กำลังประสบปัญหาอย่างยากลำบากและกำลังรอความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่การจะยกเลิกคำสั่งซื้อไปเลยก็อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะอาจจะกระทบกระเทือนถึงความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศได้ ฉะนั้นการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งในวันนี้อาจไม่ใช่คำตอบที่รัฐบาลต้องตอบ แต่อาจจะเป็นการหาวิธีทางในการเจรจาให้มีการเลื่อนทำข้อตกลงนี้ออกไปก่อน หรือไม่ ซึ่งต้องรอดูว่ารัฐบาลจะตัดสินใจเรื่องนี้อย่างไร?
“ทำการสิ่งใดอย่าได้เบาความ จงตรึกตรองให้ละเอียดแล้วจงทำ”
สุมาอี้ สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาคลัง (หน)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี