สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่องและอย่างทั่วด้าน ติดต่อกันมา 7 ปีเศษแล้ว โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโคขวิด การทรุดตัวลงได้เพิ่มความรุนแรงหนักหน่วงและกว้างขวางมากขึ้นหลายเท่าตัว
ส่งผลให้การส่งออกติดลบถึง 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบ 10.2-10.5%หรือถ้าไม่เกรงใจกันก็อาจกล่าวได้ว่าติดลบถึง 15% ด้วยซ้ำไป
ที่สำคัญคือไม่มีมาตรการใดที่บ่งชี้ว่าจะแก้ไขปัญหาฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร มาตรการเท่าที่ใช้อยู่ในขณะนี้เห็นมีอยู่แต่มาตรการเดียวเท่านั้นคือการกู้เงินมาแจก ซึ่งถ้าหากตั้งสติยั้งคิดสักหน่อยก็จะเห็นแจ้งแก่ใจว่าวิธีการให้ทานไม่ใช่เพิ่งมีมาในยุคนี้แต่มีมานับพันๆ ปีแล้ว และไม่มีใครชาติไหนที่จะใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของบ้านเมืองเลย
ที่สำคัญคืออุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจใหญ่หลวงนัก โดยเฉพาะผู้มีสติปัญญาความสามารถในการแก้ไขปัญหาฟื้นฟูเศรษฐกิจและอุปสรรคจากการรวบอำนาจทั้งหลายจากทุกกระทรวงตามกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งทำให้รัฐมนตรีซึ่งบริหารนโยบายของรัฐบาลไม่สามารถดำเนินนโยบายหรือสั่งราชการได้ตามอำนาจหน้าที่ปกติ
และที่สำคัญ การอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นไม่เป็นสิริมงคลแก่บ้านเมือง เป็นการบอกให้ชาวโลกรู้ว่าบ้านเมืองนี้มีปัญหา มีวิกฤติ ยิ่งนานเท่าใดก็ยิ่งเท่ากับย้ำบอกว่ายังไม่สามารถป้องกันแก้ไขปัญหาได้ ยังจะต้องอยู่ในระบบระบอบเช่นนี้ต่อไป แล้วใครเล่าจะเชื่อถือเชื่อมั่น
ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้จึงจำเป็นที่จะต้องออกความคิดความเห็นแสดงหนทางในการฟื้นฟูแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นคืนโดยเร็วที่สุด หาไม่แล้ววินาศทั้งหลายก็จะบังเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองและทุกภาคส่วน อันเป็นชะตากรรมที่ไม่มีผู้ใดปรารถนา
หนทางแก้ไขฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยที่สำคัญเห็นจะมีดังต่อไปนี้
ประการแรก ต้องเร่งฟื้นฟูการส่งออกของประเทศทุกประเภทสินค้าส่งออก ไม่ว่าสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเกษตร และสินค้าแปรรูปทุกชนิด เพราะถ้าส่งออกไม่ได้การผลิตก็จะดำเนินไปไม่ได้ สภาพความตกต่ำและการว่างงาน รวมทั้งผลขาดทุนเสียหายก็จะบังเกิดแก่ภาคธุรกิจโดยรวม กระทบถึงผู้คนจำนวนมากในภาคนี้
โดยเฉพาะประเทศไทยมีรายได้หลักประการหนึ่งมาช้านานแล้วคือ รายได้จากการส่งออก โดยมีผู้ประกอบการภาคส่งออกที่เข้มแข็งมากที่สุดในภูมิภาคนี้ และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐและประชาชนด้วย เมื่อส่งออกไม่ได้ทุกประการเหล่านี้ย่อมได้รับผลกระทบอย่างลึกซึ้ง
ประการที่สอง ต้องเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมบริการทั้งปวงของประเทศ ซึ่งต้องวางจุดหนักอยู่ที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศและเสริมด้วยการท่องเที่ยวในประเทศ เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวและภาคบริการนั้นแผ่กระจายไปทุกพื้นที่ทุกภาคส่วนของผู้ประกอบการของประเทศประดุจดังสายฝนหลั่งทั่วฟ้าทั้งแผ่นดิน ซึ่งจะสร้างความฉ่ำเย็นชุ่มชื้นให้แก่ทุกผู้คน ที่สำคัญคือผู้คนในภาคนี้มีถึงครึ่งหนึ่งของประเทศ
ประเทศไทยมีธุรกิจหลักหรือรายได้หลักที่สำคัญจากการท่องเที่ยว ซึ่งแม้ทั่วโลกจะมีการแข่งขันกันหนักหนาสาหัสเท่าใด แต่ประเทศไทยก็มีความเหนือกว่าและมีเสน่ห์ดึงดูดใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก จนอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าของประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงกำหนดยุทธศาสตร์ชาติประการหนึ่ง ให้สร้างชาติให้เป็นเลิศในภาคอุตสาหกรรมบริการท่องเที่ยว และนับแต่นั้นมาภาคบริการท่องเที่ยวของประเทศก็จำเริญเติบโตขยายตัวไปในทุกพื้นที่ จนอาจกล่าวได้ว่าคนไทยทุกคนล้วนเกี่ยวข้องอยู่กับวังวนของภาคอุตสาหกรรมบริการท่องเที่ยวนี้
การฟื้นฟูภาคบริการท่องเที่ยวจะต้องมุ่งเน้นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเป็นหลักเพราะมีประชากรถึง 7,000 ล้านคน แต่ถ้ามาสาละวนอยู่กับการชักชวนจูงใจให้คนไทยเที่ยวกันเอง กำลังซื้อของคนไทยซึ่งย่ำแย่อยู่แล้วก็จะยิ่งเพิ่มภาระหนี้สินมากขึ้น และกำลังอันน้อยเหมือนน้ำอันน้อยไหนเลยจะดับไฟได้ การส่งเสริมการท่องเที่ยวกันเองในประเทศแม้ไม่ผิดแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องและได้ผล
ดังนั้นการฟื้นฟูหนทางสายนี้จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้มีสติปัญญาความสามารถมาดูแลรับผิดชอบ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรมหรือเดินหนทางผิดต่อไป
ประการที่สาม ต้องเร่งระดมการลงทุนทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งแม้ว่าในยามวิกฤติโรคระบาดแต่ก็ใช่ว่าจะมีผลกระทบทางลบด้านเดียว แต่ยังมีผลเชิงบวกอยู่เป็นอันมากโดยเฉพาะคือในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งของสองขั้วมหาอำนาจของโลก ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายการลงทุนครั้งใหญ่ของโลก ซึ่งย่อมหมายถึงว่านั่นคือโอกาสของประเทศไทยด้วย
ประเทศไทยจำเป็นจะต้องมีความพร้อมในการรองรับกับการลงทุนขนานใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ ไม่ใช่ไปมุ่งเน้นอยู่ที่พื้นที่ EEC เพียงแห่งเดียว ซึ่งความจริงก็ไม่ได้มีฐานะเป็นระเบียงเศรษฐกิจเพราะไม่ติดอยู่กับชายแดนของเพื่อนบ้าน ทั้งเป็นพื้นที่แคบเล็ก พื้นที่สามจังหวัดแม้เมื่อรวมกันแล้วก็ยังนับว่าน้อยนิด และยังขาดแคลนทั้งน้ำและไฟซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการลงทุนทั้งหลาย
เมื่อครั้ง คสช. ยึดอำนาจใหม่ๆ ได้ดำเนินแนวทางสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษถึง 9 แห่ง ในทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียงชายแดนที่มีความเหนือความเด่นในภูมิยุทธศาสตร์การลงทุนที่ใครๆ ก็พอเห็นได้ว่าอำนวยความสะดวก อำนวยความเหนือกว่าในการลงทุนในประเทศไทย
แต่ทว่าจนบัดนี้เขตเศรษฐกิจพิเศษที่ปลุกปั้นกันมานับปีกลับถูกทิ้งขว้างโยนลงตะกร้าหายไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ EEC ซึ่งหากจะกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาก็กล่าวได้ว่าเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้านได้เลย
เพราะถ้าจะส่งสินค้าไปทางด้านตะวันตกก็สู้เมียนมาไม่ได้ ถ้าจะส่งสินค้าไปด้านตะวันออกก็สู้เวียดนามไม่ได้ ถ้าจะส่งสินค้าไปทางใต้ก็สู้มาเลเซียและอินโดนีเซียไม่ได้ เพราะทั้งสามทิศทางดังกล่าวนั้นมีความเหนือกว่าได้เปรียบกว่าในการขนส่ง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบแล้วพื้นที่ EEC จะกลายเป็นจุดอับด้วยซ้ำไป
อีกประการหนึ่ง ความจูงใจในการลงทุนนั้นไม่พึงวางจุดหนักอยู่ที่สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรอย่างเดียว หากพึงวางจุดหนักอยู่ที่การเสริมสร้างและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ลงทุนที่มีความเหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้านด้วย
จะต้องสังวรไว้ให้จงหนักว่าการแข่งขันในเรื่องการดึงดูดการลงทุนนั้นอยู่ที่การสร้างกำไรให้กับผู้ลงทุนให้มากและเร็ว ซึ่งมีลักษณะเปรียบเทียบและสัมพัทธ์กับประเทศเพื่อนบ้านด้วย หากข้อนี้สู้ไม่ได้ ต่อให้มอบสิทธิประโยชน์อย่างไรก็ไม่มีคุณค่าแก่ความสนใจของนักลงทุน
หนทางสายนี้ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจหน้าที่จะมีสายตาเฉียบคมมองเห็นโอกาสและมีความสามารถที่จะเชื้อเชิญชักชวนให้มีการลงทุนในสิ่งที่โลกต้องการได้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งต้องขอย้ำว่าประเทศไทยเป็นดินแดนอันอุดมและเป็นแหล่งลงทุนที่ล้ำเลิศที่สุดของโลก และโอกาสก็วางอยู่เบื้องหน้าประเทศไทยแล้ว เป็นแต่ว่าขาดผู้มีสติปัญญาไปตักตวงเอาเท่านั้น
ถ้าไม่มีการลงทุน การจ้างงาน การเพิ่มผลผลิต และเพิ่มรายได้ของแผ่นดินก็เป็นไปไม่ได้
ประการที่สี่ ซึ่งอาจจะเห็นว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่แท้จริงเป็นน้ำเนื้อเดียวกันกับหนทางที่หนึ่งถึงที่สาม นั่นก็คือการดำเนินวิเทโศบายให้เป็นไปตามพระบรมราโชบายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงวางไว้ โดยสรุปก็คือประเทศไทยจะต้องไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับใคร จะต้องไม่เลือกข้างเป็นฝักฝ่ายกับคู่ความขัดแย้งใดๆ จะสร้างมิตรไมตรีทั่วโลก จะร่วมมือทางการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวกับทุกประเทศทั่วโลก
จะต้องปลดแอกพันธนาการทั้งหลายที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการดำเนินวิเทโศบายนี้ เพราะที่เป็นอยู่นั้นได้ปิดกั้นประเทศไทยไม่ให้ผูกมิตรทำมาค้าขายกับประเทศและประชากรกว่าค่อนโลก และนี่ก็คือต้นเหตุสำคัญของหายนะที่กำลังแผ่ปกคลุมประเทศไทยอยู่ในขณะนี้
หนทางทั้งสี่นี้เป็นหนทางอันประเสริฐ เป็นหนทางที่ประเทศไทยมีพื้นฐานที่ดีที่สุดในภูมิภาคนี้และดีกว่าประเทศต่างๆ กว่าค่อนโลกด้วยซ้ำไป แต่เพราะการสร้างกรรมทำเข็ญทำร้ายตนเองและบ้านเมืองต่อเนื่องมายาวนาน จึงทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพดังที่เห็นเช่นปัจจุบันนี้
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยชี้ไว้ว่าแผ่นดินไทยอันเป็นสุวรรณภูมินี้เป็นแผ่นดินทอง ถ้าไม่โกงชาติกินบ้านกินเมืองเสียอย่างเดียวก็จะมั่งคั่งร่ำรวย ถึงขนาดทำถนนทั่วประเทศด้วยทองคำก็ยังได้
ประเทศไทยในวันนี้ตกอยู่ในสภาพเหมือนคนไข้อาการหนักถ้าปล่อยไปไม่รักษาก็ตายแน่ รักษาไม่ถูกวิธีก็จะป่วยเรื้อรังพิกลพิการและมีความตายเป็นเบื้องปลายเช่นเดียวกัน
สถานการณ์อันเร่งด่วนและจำเป็นเช่นว่านี้จึงจำเป็นที่ประชาชาติไทยทั้งผองจะต้องรีบกำหนดและดำเนินหนทางทั้งสี่ประการนี้ให้เป็นมรรคเป็นผลโดยไวที่สุด ก่อนที่จะจมน้ำทางเศรษฐกิจพินาศสิ้นทั้งแผ่นดิน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี