ยังไม่ต้องออกไป “ยึดสนามหลวง” ยังไม่ต้องกรีธาทัพ “เดินไปทำเนียบรัฐบาล” (ในวันหยุดที่ไม่มีใครมาทำงานที่ทำเนียบ) แต่กลุ่มผู้เรียกร้องเชิญชวนให้คนมาชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน 2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มีโจทย์และโจทก์ให้เคลียร์เสียก่อน
ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่
รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ คณบดี คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นอาจารย์ที่ปรึกษากลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ระบุ 3 ประเด็นว่า
• ไม่ชี้ให้ชัดว่าการขอใช้สถานที่ชุมนุม ไม่เข้าเงื่อนไขใดจึงไม่อนุญาต
• ไม่สอบถาม ไม่ขอข้อมูลเพิ่มเติม รวบรัดไม่อนุญาต
• การปฏิเสธนี้ เป็นการผลักไสให้นักศึกษาต้องออกไปเผชิญความเสี่ยงและอันตรายนอกรั้วมหาวิทยาลัย
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 กันยายน รศ.เกศินี วิฑูรชาติอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกประกาศเรื่อง“แนวทางการอนุญาตจัดชุมนุมทางการเมืองของนักศึกษาในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย” ว่า 1.หลักการพื้นฐานคือ มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ให้นักศึกษาแสดงออก รวมถึงการชุมนุมทางการเมือง ทั้งนี้ขอบเขตของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ 2.การจัดชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่มหาวิทยาลัย ต้องเป็นการจัดโดยกลุ่มกิจกรรมที่สังกัดมหาวิทยาลัยหรือคณะ หากเป็นกลุ่มอิสระ หรือกลุ่มเฉพาะกิจ จะต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษาให้การรับรอง ทั้งนี้ ในการใช้พื้นที่ต้องขออนุญาตและได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัย 3.เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการจัดชุมนุมทางการเมือง ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย และปลอดภัย ให้มีการตกลงร่วมกันระหว่างนักศึกษาผู้ขอจัดชุมนุมเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบ และมหาวิทยาลัยทั้งนี้ควรจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร มีข้อตกลงในเรื่องเนื้อหาและวิธีการแสดงออกให้อยู่ในขอบเขตกฎหมาย และมีมาตรการที่เหมาะสมในการดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลง อีกทั้งมีมาตรการในการดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยของนักศึกษาด้วย
ข) “คนธรรมศาสตร์” นำโดย นายแก้วสรร อติโพธิอดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกโรงคัดค้าน “ปิด มธ. พอกันที วีรชน” ซึ่งประเด็นนี้ต้องคุยกันยาว!!
นายแก้วสรร เริ่มต้นอธิบายว่า การคัดค้านการใช้ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นสถานที่ในการชุมนุม 19 กันยายน 2563 นั้น
“ไม่เกี่ยวกับประเด็นว่าน้องๆ จะพูดถึงพระมหากษัตริย์หรือไม่ จะพูดถึง พล.อ.ประยุทธ์หรือรัฐบาลว่าอย่างไร จะเรียกเสรีภาพหรือไม่ ไม่ได้ไปเกี่ยวในเรื่องนั้น”
แต่มีปัญหากับ “วิธีการ” จัดการชุมนุม ที่นายแก้วสรรระบุว่า “...บรรดาศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ผู้ที่มีรายนามท้ายบันทึกดังกล่าว ได้พร้อมกันเล็งเห็นว่า นักศึกษา “แนวร่วมกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ไม่มีทั้งความโปร่งใส, ความรับผิดชอบ และความสามารถที่จะจัดชุมนุมโดยสงบ สมตามที่กล่าวอ้างได้...”
นายแก้วสรร นำร่างแถลงการณ์ที่รอให้คนธรรมศาสตร์มาลงชื่อ แจกกับสื่อมวลชน มีเนื้อหาระบุว่า
“ด้วยฐานะบรรดาศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ผู้ที่มีรายนามท้ายบันทึกดังกล่าว ได้พร้อมกันเล็งเห็นว่า นักศึกษา “แนวร่วมกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ไม่มีทั้งความโปร่งใส,ความรับผิดชอบ และความสามารถที่จะจัดชุมนุมโดยสงบ สมตามที่กล่าวอ้างได้ จึงขอเรียนไปยังผู้ที่รับผิดชอบ ได้โปรดพิจารณามีคำสั่งปฏิเสธ คำขอใช้พื้นที่ชุมนุมในมหาวิทยาลัยของนักศึกษากลุ่มนี้ด้วย ตามเหตุผลดังนี้
1.เป้าประสงค์ : กลุ่มนักศึกษาผู้ขอจัดการชุมนุม แถลงยืนยันไว้ชัดเจนว่า จะเปิดชุมนุมนักศึกษาและประชาชน 1 วัน 1 คืน จากนั้นจะเดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล ตัวเลขโดยประมาณอยู่ที่ 40,000 คนขึ้นไป เพื่อ “ต่อสู้สร้างแผลให้เผด็จการอย่างไม่รู้ลืม” และสัญญาว่า “พี่น้องจะไม่กลับมือเปล่าอย่างแน่นอน”
2.สงบแต่ปาก : ขบวนที่จะมารวมและยกไปทำเนียบนี้กลุ่มศิษย์เก่ากลุ่มนี้เห็นว่ามีคุณภาพเป็นมวลชนแห่งความจงเกลียดจงชัง ที่ผ่านการปลุกปั่นมายาวนานในโลกไซเบอร์ ซึ่งเมื่อออกจากทวิตเตอร์มารวมตัวกันจริงๆ บนท้องถนนแล้วก็ยิ่งจะก้าวร้าวราวกับเรดการ์ด จนยากที่จะเชื่อหรือหวังในความสงบและการเจรจากัน เช่น วิถีทางประชาธิปไตยได้
3.สุ่มเสี่ยงสูงสุด : สำหรับความสามารถและความรับผิดชอบนั้น ก็มองไม่เห็นเลยว่านักศึกษากลุ่มนี้จะมีความสามารถในการนำ ควบคุม จัดการ คุ้มครอง ผู้ชุมนุม
ได้อย่างไร เห็นมีแต่ความสามารถทางวาทกรรมเท่านั้นคำกล่าวที่ว่าจะชุมนุมโดยสงบ จึงเป็นเรื่องเกินศักยภาพทั้งสิ้น ยิ่งวางแผนว่าจะเทม็อบ 40,000 คน ใส่ทำเนียบรัฐบาลด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าห่วงว่า จะได้เห็นร่างวีรชนต้องจากไปอีกหลายคนเหมือนคราวที่เทม็อบพฤษภาทมิฬอีก
4.ไว้วางใจไม่ได้ : ท้ายที่สุดกลุ่มศิษย์เก่าเห็นว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่นักศึกษากลุ่มนี้ จะมีการนำและการจัดการโดยอิสระลำพังกลุ่มตนเองได้ แทนที่นักศึกษาและคนพวกนี้จะกล้าประกาศรวมตัวให้ปรากฏเป็น “แนวร่วมต่อต้านเผด็จการ”ที่โปร่งใสชัดเจน ชัดทั้งการนำและอิสระทางการเมือง ตลอดจนที่มาของค่าใช้จ่าย และจุดแห่งชัยชนะที่ต้องการ พวกเขากลับดันให้เด็กนักศึกษาของเราไม่กี่คนมาออกหน้า ความลับๆ ล่อๆเช่นนี้ เป็นไปแล้วและเป็นไปได้ ก็ด้วยเหตุที่กฎหมายชุมนุมสาธารณะได้ยกเว้นไว้ ไม่ให้นำมาตรการตรวจสอบมาใช้กับการชุมนุมในสถานศึกษา จนเปิดช่องให้มีการวางแผนเลี่ยงกฎหมาย โดยขอจัดชุมนุมในมหาวิทยาลัยซ่องสุมกำลังก่อน แล้วยกขบวนออกไปอาละวาดนอกมหาวิทยาลัยต่อไป
5.ธรรมศาสตร์มีส่วนร่วมด้วยไม่ได้ : ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ศิษย์เก่าท้ายบันทึกดังกล่าวจึงเห็นว่าคำขอจัดชุมนุมครั้งนี้ไม่สุจริต ไม่โปร่งใส ไม่มีความสามารถและความรับผิดชอบที่ต่ำกว่ามาตรฐานประชาธิปไตย จนไม่อาจรับรองให้ชุมนุมโดยอิสระในสถานศึกษาได้
“หลังจากนี้จะมีกระบวนการลงชื่อท้ายหนังสือดังกล่าว ซึ่งจะใช้เวลาร่วมลงชื่อ จนถึงวันอังคารที่ 15 กันยายน นี้ เวลา 16.00 น. ก่อนที่จะนำไปยื่นต่อผู้บริหารมหาวิทยาลัย พร้อมยืนยันคณะที่ออกมาคัดค้าน มาในนามศิษย์เก่ากลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ในนามธรรมศาสตร์ทั้งหมด สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษา ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้สิทธิเสรีภาพ แต่เป็นสิทธิการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าไม่เห็นด้วยที่จะใช้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นฐานทัพในการละเมิดรัฐธรรมนูญ” นายแก้วสรร กล่าว
สรุปง่ายๆ ได้อย่างนี้ว่า
1) เนื้อหาของการชุมนุม จะพุ่งเป้าไปที่ใคร ไม่ข้องเกี่ยวไม่ยุ่งด้วย ไม่ใช่ประเด็นของการคัดค้านครั้งนี้
2) ประเด็นที่คัดค้าน คือ ธรรมศาสตร์ควรยินยอมให้ใช้สถานที่เป็น “ฐานทัพ” เป็นที่ซ่องสุมกำลังพล ในการ “หลบ พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ” อันเป็นการ “ใช้ช่องว่างทางกฎหมาย” ที่ พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ “เอื้อมไม่ถึง”หากเป็นการชุมนุมในสถานศึกษา โดยที่ “เป้าหมาย” นั้น อยู่ภายนอก เช่น หากคนมากพอ ก็จะออกไปยึดสนามหลวง
“...ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่ทุกคนตั้งแต่ระดับมัธยมขึ้นไปพร้อมจะพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์อย่างเปิดเผยแล้ว อย่าเอาเรือขวางน้ำเชี่ยว อย่าทะเลาะกับกาลเวลา มันเป็นไปตามยุคสมัย การยอมปรับตัวเท่านั้น คือทางทำให้สถาบันกษัตริย์สง่างาม แต่การปิดปากจะทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมลงไปยิ่งกว่านี้ เชื่อผม ในส่วนของวันที่ 19 นี้ จัดแบบเบิ้มๆ แน่นอน ขอให้พี่น้องจากทุกสารทิศมารวมตัวกันที่ท่าพระจันทร์ เพราะถ้าคนเยอะ เราจะไปยึดสนามหลวงคืนเป็นสนามประชาชน!.” เพนกวิน หรือนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ โพสต์เฟซบุ๊ค
การใช้ “ธรรมศาสตร์” ซ่องสุมคนให้ได้จำนวนตามที่ต้องการ แล้วค่อยยกขบวนไปที่ทำเนียบรัฐบาล ธรรมศาสตร์ควรเห็นด้วยหรือไม่? หากจะเคลื่อนไหวประการใดที่ธรรมศาสตร์ ต้องร่วมรับผิดชอบ ธรรมศาสตร์ ควรจะทำเอง บ่มเพาะประเด็นให้ชัดเจน กระจ่าง เห็นพ้องต้องกันเสียก่อน แล้วค่อยเคลื่อน เหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมา ไม่ใช่ปั่นกันในไซเบอร์จนได้ที่ แล้วปล่อยออกมาปฏิบัติการ โดยมาขอใช้ธรรมศาสตร์เป็นฐานที่มั่นแบบนี้ “เราได้พูดกับธรรมศาสตร์ กับผู้บริหารว่า อาจารย์ธรรมศาสตร์ร่วมไม่ได้นะ”นายแก้วสรรกล่าว
3) การนำและการจัดการ ไม่น่าไว้วางใจว่าจะควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อยู่ในสภาพ “เรดการ์ด” หรือ “ยุวชนนาซี” ที่ถูกปลุกเร้าจนเดือดดาล ก้าวร้าว ดุร้าย ในโลกไซเบอร์ จนได้ที่ แล้วเป่านกหวีดเรียกระดมพลออกอาละวาด แผนการควบคุมมวลชน ดูแลความปลอดภัยให้มวลชนและการจัดการมวลชน ไม่ถูกให้ความสำคัญ ไม่มีการนำและตัวบุคคลที่จะรับผิดชอบการจัดการ การเจรจา การควบคุมได้ที่ชัดเจน มีแต่ความโกรธเกลียดร่วมกันที่ชัดเจน เตรียมคนไว้แล้วผ่านการจัดการในโลกไซเบอร์ แล้วเรียกรวมพล เทคนเข้าใส่เป้าหมาย ซึ่งท้ายที่สุดท้ายก็อาจไปจบที่ “วีรชน”
“วีรชน คือ เพื่อนคนไทยที่เคราะห์ร้าย จากสงครามทางการเมือง ที่ไม่มีคนรับผิดชอบ แล้วก็เรียกเขาว่าวีรชน = คนตายฟรี เราไม่ต้องการเห็นอย่างนี้อีก”
“ยังไม่เกิดนี่ เขายังไม่ยึดเลย จะตายจริงหรือ?ถ้าตายกันจริงๆ เผาเมืองกันจริงๆ ใครรับผิดชอบ คนที่จะถามพวกเราอย่างนี้ คุณจะให้ธรรมศาสตร์ ที่มีแต่อาจารย์เกศินี อาจารย์นรนิติ และอำนาจในการเป็นเจ้าของสถานที่รับผิดชอบเหรอ? มันเป็นความน่าจะเป็นแล้ว ประกาศแล้ว อยู่ในไซเบอร์แล้ว ปกปิดแล้ว เลี่ยงกฎหมายแล้ว”นายแก้วสรรกล่าว
4) น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำพวงหรีดที่มีข้อความว่า “อาลัยจิตวิญญาณธรรมศาสตร์” มาวางไว้บริเวณ หน้ารูปปั้น นายปรีดีพนมยงค์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เพื่อแสดงถึงการปิดกั้นเสรีภาพ และอยากให้นายปรีดีรับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะมองว่าการกระทำของมหาวิทยาลัย สวนทางกับแนวคิดของนายปรีดี ที่ ม.ธรรมศาสตร์
“รุ้ง” ยืนยันจะจัดชุมนุมใหญ่ 19 กันยายนนี้ เพื่อทวงอำนาจคืนราษฎร แม้ว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ออกเอกสารไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ โดยอ้างไม่เป็นไปเงื่อนไข แต่ขอยืนยันว่าทางกลุ่มได้ดำเนินการตามขั้นตอน มีอาจารย์ที่ปรึกษาเซ็นรับรองถูกต้อง การที่มหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้ใช้ จะเป็นการจงใจผลักนักศึกษาออกไปชุมนุมเผชิญอันตรายข้างนอก ทั้งที่พื้นที่มหาวิทยาลัยควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักศึกษา เพราะธรรมศาสตร์บอกว่าทุกตารางนิ้วในมหาวิทยาลัยมีเสรีภาพ และมีประวัติศาสตร์การต่อสู้ประชาธิปไตยอย่างยาวนาน
“เป็นที่น่าผิดหวัง เพราะครั้งแรกที่ก้าวเข้ามา ตั้งแต่การปฐมนิเทศพูดถึงจิตวิญญาณทำให้นักศึกษาซึมซับของรุ่นพี่ตั้งแต่เหตุการณ์เดือนตุลา ซึ่งแปลกใจที่มหาวิทยาลัยอ้างเหตุผลที่ไม่สอดคล้อง ขอเรียกร้องอธิการบดี และอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทุกคนให้แสดงจุดยืนในการต่อสู้เรียกร้องยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย เหมือนนักต่อสู้ของธรรมศาสตร์รุ่นก่อน ที่ต่อสู้เรียกร้องเสียสละ จนธรรมศาสตร์เป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ เป็นที่พึ่งของประชาชน ไม่ใช่มารับใช้เผด็จการและระบบทุนนิยม” พร้อมยืนยันว่า จะเดินหน้าชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และจะไม่เปลี่ยนหรือย้ายสถานที่ หากล็อกประตูก็จะตัดโซ่เข้ามาโดยจะพูดถึงการปฏิรูปสถาบันที่หลายคนมีความกังวลจะพูดถึงในการชุมนุมแน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง
น.ส.ปนัสยายังกล่าวว่า ทางกลุ่มพร้อมเจรจา3 ฝ่าย ร่วมกับมหาวิทยาลัยและตำรวจ แต่ไม่ใช่มาลิดรอน หรือตัดสิทธิ์กันแบบนี้ ส่วนเรื่องความปลอดภัย ยอมรับว่าหลายคนมีความเป็นห่วง แต่กลุ่มก็จะจัดการ์ดคอยดูแลควบคู่กับตำรวจ เพราะห่วงว่าอาจมีผู้ไม่หวังมาดีเข้ามาสร้างสถานการณ์
ขณะที่เพนกวินโพสต์เฟซบุ๊คว่า “...ถึงแม้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยจะไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ในการชุมนุม เราก็จะจัดการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์กันต่อไป เพราะธรรมศาสตร์เป็นของประชาชน ไม่ใช่ของขี้ข้ารับใช้เผด็จการไม่กี่คน...”
5) นายแก้วสรรกล่าวว่า “ธรรมศาสตร์นี้ มาจากภาษีของประชาชน ก็จะบอกน้องๆ ว่าไม่ใช่ ที่ว่าเรามีเสรีภาพทุกตารางนิ้วนี่ เราไม่ยอมรับเผด็จการทุกตารางนิ้ว ไม่ว่าคุณจะมาในนามทหาร ในรูปของม็อบ หรือคนส่วนมาก เผด็จการไม่ได้มีแค่ทหารนะครับ จะบอกให้ นายกฯเลือกตั้งก็เป็นเผด็จการได้ ม็อบนี่ก็เป็นเผด็จการได้ ถ้าไม่ยอมรับสิทธิของคนอื่น ไม่คิดถึงคนอื่น ไม่รู้จักคำว่าสถาบัน (ธรรมศาสตร์?) เห็นแต่ว่า กูจะทำอะไรก็ได้ นั่นละ คือ เผด็จการ เพราะฉะนั้นในคำท้ายของแถลงการณ์นี้จึงบอกว่า “ต่ำกว่ามาตรฐานประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง” ไม่คิดถึงส่วนรวม ไม่มีความโปร่งใส สุ่มเสี่ยง ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น บ้านนี้เมืองนี้กูคิดยังไง กูก็จะทำอย่างนั้นของกู ของกูคนเดียวงั้นเหรอ”
มาดูกันว่า เวลา 6 วันนับจากนี้ จะมีการแปรเปลี่ยนการตัดสินใจกันอย่างไร ระหว่างผู้ชุมนุม ศิษย์เก่าที่รวมชื่อคัดค้าน และผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใน“ศึกชิงธรรมศาสตร์” นี้
แต่ดูจากการอภิปรายในสภาอย่างจงใจของนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.พรรคเพื่อไทย เรื่อง “ยุทธการมัฆวานรังสรรค์ 19 กันยา” กับความพยายามย้ำว่าจะมี “รัฐประหาร” ของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แล้ว เหมือนการเอาตอนจบของหนังหรือนวนิยายมาเฉลยอย่างไรไม่รู้
เพียงแต่ว่าใครจะตัดสินใจจบ
ขบวนการการชุมนุมคือยุทธการ “ล่อเป้า”?
ตำรวจห่วง “มือที่สาม” สร้างสถานการณ์ มือที่สามของฝ่ายไหน?
ฝ่ายผู้ชุมนุมเอง หรือ “อีแอบ” ที่เดินเกมใช้ผู้ชุมนุมเป็น “หมาก” ล่อให้มีการตาย เจ็บ ล้อมปราบ หรือกระทั่ง “ประกาศกฎอัยการศึก” หรือ “ยึดอำนาจ”
หรือฝ่ายผู้มีอำนาจที่จะโง่ เซ่อ บ้า ฝังกลบตัวเองผ่านการ “รัฐประหาร” ตามที่จตุพรและแนวร่วม ตอกย้ำกันอย่างขมีขมันมาครึ่งเดือนแล้ว!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี