ขณะที่ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาโควิดที่ดูท่าทียังไม่มีจุดสิ้นสุดแม้ประเทศที่มีสถานการณ์ดีขึ้นก็กลับมาระบาดรอบสอง ในขณะที่ประเทศไทยก็อยู่ในช่วงจับตาว่าจะกลับมาอีกหรือไม่จากกรณีที่เพิ่งพบผู้ป่วยนอกสถานควบคุมโควิด และล่าสุดพบชาวต่างชาติที่อยู่ที่ไทยที่เดินทางกลับประเทศพบว่าติดโควิดคาดว่าจากประเทศไทย แต่ดูเหมือนสถานการณ์การเมืองของประเทศกำลังเดินคู่ขนาน ทั้งในสภาและนอกสภา โดยในสภาในช่วงนี้ที่มีการประชุมวาระสองของ พ.ร.บ.งบประมาณ ควบคู่กับกระแสรัฐบาลถังแตก กับการเสนอของบรรดานักการเมืองที่จะบรรจุวาระแก้รธน.เข้าสภา นอกสภาก็กำลังจะมีการชุมนุมใหญ่ที่เอาเข้าจริงก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไรและแกนนำตัวจริงคือใคร ?
วิกฤติโควิด วิกฤติเศรษฐกิจ และการชุมนุม นายกฯจะจัดการปัญหาต่างๆ เหล่านี้อย่างไร?
การจัดชุมนุมครั้งใหญ่วันเสาร์ที่ 19 กันยายน ที่กำลังจะถึงนี้ หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าจะดำเนินไปด้วยเป้าหมายอะไร เพื่ออะไร ขณะที่หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่นั้น คงต้องแยกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือความเป็นห่วงต่อกลุ่มผู้ชุมนุมเองเพราะเข้าใจว่าส่วนหนึ่งจะเป็นบรรดาเยาวชนทั้งที่ยังอยู่ในระบบการศึกษาและที่เรียนจบแล้ว อีกส่วนคือผลกระทบต่อผู้ท่ีไม่ได้มาชุมนุมด้วย คือผลกระทบต่อประเทศ
อันที่จริงรัฐบาลมีแนวคิดจะเปิดประเทศบางส่วนหลังตุลาคมนี้ เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะจากสถานการณ์โควิดนี่ทำให้ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกมีปัญหาและวิกฤติ สำหรับประเทศไทยเองก็เช่นกัน เพราะจากวิกฤติโควิดในช่วงหกเดือนทีผ่านมา สภาพัฒน์ก็ได้ประกาศออกมาแล้วว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศของไทย (GDP) ในไตรมาสที่ 2 ติดลบสูงถึง -12.2% ซึ่งถือว่าแย่สุดในรอบ 22 ปี และก็ไม่รู้ว่าหากสถานการณ์การระบาดของทั่วโลกยังไม่จบ เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ รวมถึงไทยจะลงอีกเท่าไร ทางเดียวคือ การชะลอการหดตัวของภาวะเศรษฐกิจ ที่ทุกฝ่ายคงต้องช่วยกัน
กลับมาสู่ประเด็นความเป็นห่วงของสังคม ต่อบรรดาลูกหลานที่จะมาร่วมชุมนุม ทั้งในเรื่องความปลอดภัย ที่ต้องระบุเช่นนี้เพราะการชุมนุมในแต่ละครั้งที่ผ่านมาในอดีต หลายครั้งพบความรุนแรงจากทั้งในกลุ่มผู้ชุมนุมเอง หรือจากบุคคลที่สาม และปัญหาอื่นๆ ที่อาจกระทบอนาคตของเยาวชนหากไม่เตรียมตัวให้ดี เพราะจากการชุมนุมในช่วงสิบปีที่ผ่านมาของฝ่ายต่างๆ สุดท้ายจบลงด้วยคดีความ และมีแกนนำหรือผู้ชุมนุมบางคน ไม่รู้กฎหมายเผลอไปกระทำผิด ทั้งในการบุกรุกสถานที่ราชการ หรือการพูดที่เกินเลยบางอย่างให้เป็นคดี สำหรับในวันที่ 19 กันยายนนี้ แนวร่วมธรรมศาสตร์ และการชุมนุมนัดหมายชุมนุมใหญ่ภายใต้ชื่อ “19 กันยา ทวงคืนอำนาจราษฎร” ถือเป็นการจัดการชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 2 หลังจากทางกลุ่มเคยจัดการชุมนุมที่ใช่ชื่อว่า “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” ที่ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ที่ผ่านมา ในการชุมนุมครั้งนั้นมีการประกาศข้อเรียกร้อง 10 ประการ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงความสุ่มเสี่ยง เนื่องจากเป็นข้อเรียกร้องที่เกี่ยวกับสถาบัน
อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ก็ยังระบุไม่ได้ว่าใครคือแกนนำหลักหรือผู้กำหนดแผนยุทธศาสตร์การชุมนุมตัวจริง ซึ่งต่างจากในอดีตที่จะมีบุคคลคนหรือพรรคการเมืองออกมาแสดงตนชัดๆว่าเป็นแกนนำหลัก เพื่อดำเนินการยื่นข้อเสนอในการชุมชนต่อใครก็ตาม เพื่อให้มีกุญแจหลักในการสื่อสารหรือตัดสินใจในข้อเรียกร้องเพราะหากมีการตกลงกันได้กับผู้ถูกเรียกร้องย่อมเป็นผลดีกับบ้านเมืองมากกว่าการปล่อยให้มีการขยายวงชุมนุมจนส่งผลกระทบอื่นตามมา
ซึ่งในตอนนี้พบแต่เพียงปลุกระดมและการเชิญชวนชุมนุมในโซเชียลผ่านคอนเทนท์ต่างๆ ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างหนัก ว่าจะมีเซอร์ไพรส์ใหญ่ ขอเชิญชวนทุกท่านเข้ามาร่วมงาน
และถึงแม้ว่าที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยได้ออกมาประกาศแล้วว่า ไม่อนุญาตให้กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยในการชุมนุม แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะไม่ยอมรับหรือไม่ และประกาศในทำนองว่าพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถเข้าไปชุมนุม ไม่ว่าจะตัดโซ่ หรือพังประตูเพื่อบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัย และไม่มีแผนสำรองจัดชุมนุมในสถานที่อื่น ซึ่งไม่รู้จะเป็นจริงหรือไม่ และน่าเป็นห่วงอย่างมาก
ทางที่ดีและทางออกของบ้านเมืองคือการหาทางออกความขัดแย้งด้วยแนวทางสงบ และผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีเองก็ควรรับฟังและหาคำตอบตลอดจนถึงทางออกให้กับกลุ่มผู้เห็นต่าง ไม่ผลักคนเห็นต่างให้ออกจากตนเอง
ที่ผ่านมากลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องอะไรและนายกฯรับฟังหรือไม่?
เอาเข้าจริง ที่ผ่านมาถึงตอนนี้ข้อเรียกร้องที่ผ่านมาของกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีที่ไม่เป็นธรรม ตลอดจนไปถึงเรื่องเรือดำน้ำ ได้รับการรับฟังและตอบสนองจากรัฐบาลมาหรือไม่คดีบอส หลังกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้อง นายกฯสั่งรื้อคดี เรื่องเรือดำน้ำ รัฐบาลสั่งถอยออกจากงบประมาณ ใช่หรือไม่
อย่างเรื่องการชุมนุมที่หน้ากระทรวงศึกษาฯ หากปัญหาที่อยากให้แก้คือระบบการศึกษาที่มีปัญหาและหลายฝ่ายก็ยอมรับว่ามีอยู่หลายส่วนจริง และแม้จะไม่รู้ว่าหนทางแก้ไขจะดำเนินไปทางใดแต่ก็มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯไปรับเรื่องภายในวันนั้นสิ่งสำคัญคือการออกมาเสนอและหาทางแก้อย่างจริงจังและเป็นไปได้ และเดินหน้าต่อที่จะเข้ามามีส่วนในการแก้ไขตลอดจนติดตามการแก้ไขอย่างจริงจัง
จนถึงตอนนี้ข้อเสนอของกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางต่อมาถึงเรื่องการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพอดีโอกาสหรือเป็นความตั้งใจแต่ต้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ บรรดานักการเมืองในสภาทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างกระโดดลงมาเล่นกระดานนี้ทั้งหมดและสภาก็จะได้มีการพิจารณาญัตติแรก เป็นญัตติพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 โดยญัตตินี้จะได้เข้าพิจารณาวันที่ 23-24 กันยายน นี้ ซึ่งก็อาจด้วยความตั้งใจของทุกฝ่ายที่อยากจะหาทางออกทางการเมือง แม้ที่จริงก่อนหน้านี้สภาก็ได้มีมติ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ไว้ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วก็ตาม
โดยในประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญนี้ ในปัจจุบันได้มีการยื่นญัตติต่อประธานสภาไปแล้ว 6 ญัตติ โดยญัตติแรก เป็นการเสนอแก้ไข้ มาตรา256 สาระสำคัญคือเพื่อให้มีการจัดตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร) จะมีการพิจารณากันในวันที่ 23-24 กันยายน และจะสำเร็จหรือไม่? เพราะต้องยอมรับว่าองค์ประกอบสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะในมาตราใดต้องได้รับการสนับสนุนจากสว. ไม่ต่ำกว่า 84 เสียง จึงจะสามารถแก้ไขได้สำเร็จ ญัตติที่สอง เป็นญัตติที่พรรคร่วมรัฐบาลยื่นแก้ไขมาตรา 256 เช่นเดียวกันแต่รูปแบบและรายละเอียดแตกต่างกัน และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นเพิ่มอีก 4 ญัตติ ประกอบด้วย 1.แก้ไขมาตรา 272 เรื่องอำนาจของ สว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี 2.แก้ไขมาตรา 270 และมาตรา 271 เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ 3.แก้ไขมาตรา 279 ยกเลิกคำสั่ง คสช. 4.แก้ไขระบบการเลือกตั้งโดยเอาระบบการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้
อย่างไรก็ตาม การนำเสนอของบรรดา สส.ในสภาก็มีเสียงตอบรับจาก สว. บางส่วนด้วยจึงพอจะมองเห็นทางออกร่วมกันได้ในระดับหนึ่ง แต่การณ์นี้อาจทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมต้องหาประเด็นหรือหาเหตุผลใหม่มาสนับสนุนการชุมนุมของตนให้ชอบธรรมต่อไปหรือไม่ และเรื่องที่หลายฝ่ายกังวลว่าการหาเหตุผลใหม่นี้จะนำไปสู่เรื่อง ประเด็นของสถาบันซึ่งเป็นที่รักและเคารพนับถือของคนไทยทั้งประเทศ เพราะถ้านำประเด็นนี้มาสนับสนุนการชุมนุมอาจเป็นเหตุให้เกิดความไม่พอใจของคนบางกลุ่มและอาจนำไปสู่การปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้
โดยที่ผ่านมากลุ่มตรงข้ามกับกลุ่มผู้ชุมนุมตอนนี้ ก็ได้มีการจัดตั้งกลุ่มไทยภักดี ขึ้นมา นำโดย นายแพทย์วรงค์เดชกิจวิกรม มีเป้าหมายออกมาแสดงจุดยืนว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีความเห็นเช่นเดียวกับกลุ่มเยาวชนไปเสียหมด โดยกลุ่มของหมอวรงค์จะนำเสนอความคิดเห็นที่ดูนั้น แทบจะตรงกันข้ามกับกลุ่มนักศึกษา จึงทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะเกิดการปะทะกันได้ในสักวันหนึ่ง
ซึ่งในช่วงเวลาเช่นนี้หากเกิดการปะทะกันขึ้นมาของกลุ่มความคิดที่แตกต่างกันทางการเมือง ในขณะที่ทั่วทั้งโลกได้รับผลกระทบการจากแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจของทั่วโลกต้องหยุดชะงักลงไป ซึ่งประเทศไทยรายได้หลักของประเทศที่ขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวและส่งออกสินค้าก็ได้รับผลกระโดยตรง โดยประเทศไทยถูกประเมินไว้ว่าจัดการแก้ปัญหาวิกฤติโควิดได้ดีเป็นอันดับต้นๆของโลก และอาจนำไปสู่การเปิดประเทศเร็วๆ นี้ แต่ภาวะการชุมนุมที่อาจมีสองกลุ่มและมีความขัดแย้งกันรุนแรง อาจกระทบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่
“คิดการสิ่งใดก็รู้จักที่หนักที่เบา ทีได้ทีเสีย ยักย้ายถ่ายเทมิให้ผู้ใดล่วงรู้”
เล่าปี่ สามก๊ก ฉบับ วณิพก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี