ขอดัดจริต เดินออกจากสำนวนไทย ไปใช้สำนวนแบบต่างด้าวต่างแดนสักนิดว่า ในทางการเมืองแล้ว “เดือนตุลาคม” เป็น “เดือนที่เซ็กซี่” สำหรับคนบางกลุ่ม
ก่อให้เกิด “กำหนัดทางการเมือง” ที่จะ “พลิกประวัติศาสตร์”มาบำบัดความใคร่ และหมายจะ “สร้างประวัติศาสตร์ใหม่” ให้วันข้างหน้า มีเดือนตุลาที่ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” ได้
เราจึงเห็นว่า มีการขุดประวัติศาสตร์เหตุการณ์เดือนตุลา มา “ตีความ” ไปต่างๆ นานา เพื่อ “บำบัดอารมณ์ตัวเอง” และ “กระตุ้นกำหนัดทางการเมือง” ให้แก่คนกลุ่มใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กัน
ตั้งเวทีเสวนาขึ้น เพื่อรองรับกำหนัดของคนแบบเดียวกัน
ในขณะที่ “คนเดือนตุลา” ที่หมดสมรรถภาพทางการเมือง ยั่วไม่ขึ้น ยุไม่แข็งแล้ว ก็ได้แต่ “เฝ้ามอง” อย่างเพลียใจ
ภาพเหตุการณ์เดือนตุลา จำนวนไม่น้อย ถูกใช้ในสภาพ “เซ็กซ์เทป”
แต่เป็นเซ็กซ์ในทางอุดมการณ์ที่ยังไม่ “ฟิน” จึงเกิดการ “ทำซ้ำ” และเลือก “ตีความ” เพื่อจูงให้หมู่คนมาร่วม “บำบัดด้วยกัน” เป็น “เซ็กซ์หมู่ทางการเมือง”
ใช่ครับ เหตุการณ์เดือนตุลา ทั้ง 14 ตุลา 16 กับ 6 ตุลา 19 นั้นมีจริง เกิดขึ้นจริง และชั่วช้าจริงๆ
แต่เราใช้ “ความจริง” นั้น อย่าง “ตรงไปตรงมา” เพื่อ“พาผู้คน” ไปสู่ความระมัดระวัง หรือพาผู้คนไปสู่ความคุคลั่ง เพื่อเปลี่ยนความหดหู่เศร้าสร้อยจากการรับรู้เหตุการณ์ให้เป็น “โทสะ” หมายจะเอาพลังงานโทสะนั้นไปใช้ เพื่อประโยชน์บางประการในการขับเคลื่อนการเมืองของฝ่ายตนในปัจจุบัน
เราเอาอดีตมาขัดเกลาและหล่อหลอมคนให้มีสติปัญญา มีหลักการและเหตุผลเพิ่มขึ้น หรือเอามา“แบ่งแยกคนออกจากกัน”
ยิ่งใกล้วันชุมนุม 14 ตุลาคม 2563 เรายิ่งเห็นทั้ง “กระบวนการ” และ “ขบวนการ” อะไรมากมายก่อเกิดขึ้น
1.แกนนำปลุกเร้า เปิดประเด็น ชักชวน และหยิบวาทกรรมปกติ คือ “ม้วนเดียวจบ” มาใช้ อันนี้ไม่มีอะไรแปลก
2.กลุ่มขั้วตรงข้ามทางความคิดก็ต้องเคลื่อนไหว สกัดกั้น ในทางหลักการก็ถือว่าปกติ แต่ต้องไปดูวิธีการ ว่าปกติ หรือควรระมัดระวัง
3.กลุ่มผู้สนับสนุน ที่ไม่ออกหน้าเอง ก็หาทางสร้างกระแสทางอ้อมช่วย เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ บอกว่า จะไปร่วมชุมนุมนะ แต่ไม่ใช่แกนนำนะ อีกฝ่ายก็ออกมาเตะตัดขาในทำนองว่า ประเทศนี้ไม่เหมาะกับธนาธรจริงๆ
4.ผู้กุมอำนาจรัฐ ก็จะเล่นบท “ไม่มีอะไร” เป็นสิทธิเสรีภาพ แต่อย่าละเมิดกฎหมาย ในเวลาเดียวกันก็จะมีลิ่วล้อบริวารออกมาในลักษณะใกล้เคียงบ้าง ต่างไปอีกมุมหนึ่งบ้าง
5.สื่อ ที่เป็นขั้วอารมณ์เดียวกัน ก็จะส่งบทวิเคราะห์ออกมาช่วยสร้างกระแส ในทำนองว่า การชุมนุมรอบนี้ถือเป็นที่สุดแห่งยุคสมัย ที่ไม่ควรจะพลาดด้วยประการทั้งปวง และช่วยกัดเซาะฝั่งผู้กุมอำนาจรัฐอย่างพากเพียร
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ เป็นเรื่อง “ธรรมดา” หรือ “ไม่ธรรมดา” สำหรับประเทศที่เศรษฐกิจกำลังต้องกอบกู้ มีโรคระบาด มีคนตกงาน มีความแตกแยก มีคนบอกว่า “รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์” จนต้องบิดเบือนกฎหมายให้ฝ่ายตัวเองได้กุมชัยชนะ เพื่อป้องกัน “ปีศาจร้าย” อีกพวกขึ้นมามีชัยชนะ กุมอำนาจและงบประมาณ แล้วมีอีกกลุ่มลุกขึ้นมาบอกว่านั่น จะต้องนำไปสู่การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เลยเชียวล่ะ
คนรุ่นเก่า ขึ้นมามีวิวาทะ กับคนอีกรุ่น หรืออีกขั้วความคิด ชนิดไม่ต้องรักษาทรงของตัวเองแล้ว
คนสองกลุ่ม มีอารมณ์รุนแรงเหมือนโกรธเกลียดกันมา 7 ชั่วโคตร
พวกหนึ่งใช้วาทกรรม “ปกป้อง” อีกพวกหนึ่งใช้วาทกรรม “ปลดปล่อย”
แต่รบกันผ่าน “ตัวแทน” ผ่านหมากเบี้ยบนกระดานการเมือง ผ่านการ “ปลุกเร้า”
นึกถึงข้อเขียน “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า
“เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ๆ อย่างบ้าๆ คือ ตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ”
ครับ เรากำลังตกอยู่ในสภาพ “การเมืองเป็นพิษ” พิษจากการที่ทุกฝ่าย “มีกำหนัด” ของตัวเอง และพยายามปลดเปลื้องให้แก่ตนเอง โดยเอาคนอื่นๆ มาเป็น “เครื่องมือ”
ลองมาดู “ตัวละคร” และ “การเคลื่อน” เหล่านี้กันครับ
1) วันที่ 8 ตุลาคม 2563 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ค Warong Dechgitvigrom ระบุว่า #ประเทศไทยไม่เหมาะกับธนาธร ปิยบุตร
“...ผมได้ติดตามความคิดของ นายธนาธรและนายปิยบุตร มันสะท้อนได้อย่างหนึ่งคือ นายธนาธรพยายามขุดอดีต เช่นเหตุการณ์ 2475 เหตุการณ์ 6 ตุลา และ 14 ตุลา รวมทั้งพฤษภาทมิฬ เพื่อให้เกิดความเกลียดชัง และความขัดแย้งในสังคม ปลุกระดมเพื่อการชุมนุม โดยไม่พูดถึงปัญหาจริง ที่เกิดจากนักการเมือง ที่นายทุนบงการผ่านพรรค
ในทำนองเดียวกัน นายปิยบุตรไปไกลถึงฝรั่งเศสร่วม 200 กว่าปี เรื่องการปฏิวัติฝรั่งเศส เพื่อนำเรื่องบ้านเมืองเขา มาปลุกระดมสร้างความเกลียดชัง ในสังคมไทยทั้งๆ ที่คนละบริบท แต่เลือกพูด
การที่คนกลุ่มนี้ ต้องพยายามทำแบบนี้ เพราะหาปัญหาของวันนี้ เพื่อมาปลุกระดมไม่ได้ เนื่องจากปัญหานายทุนบงการพรรคการเมือง พวกตนเองก็มีส่วน
วันนี้สังคมไทย ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้รับการพิสูจน์ว่า เราสู้กับภัยคุกคามใหม่ๆได้ดีที่สุดในโลก และสอดคล้องกับวิถีแบบไทยอัตลักษณ์ไทย ถ้าได้นักประชาธิปไตย ที่เอาพวกคุณอยู่ ประเทศไทยจะพัฒนาได้เร็วกว่านี้แน่ สงสัย #ประเทศไทยไม่เหมาะกับธนาธร ปิยบุตร จริงๆ”
2) 8 ตุลาคม 2563 อดีตพระพุทธะอิสระ ผู้ก่อตั้งวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คหลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) โดยตั้งคำถามว่า “...ย้ำนะย้ำ ที่ถามเพราะอยากรู้จริงๆ พุทธะอิสระสงสัยจริงๆ ว่าสถาบันเคยไปทำอะไรให้บรรพบุรุษของคุณธนาธรเดือดร้อนตอนไหน ทำไมพวกคุณจึงได้จงเกลียดจงชังสถาบันกันนัก
ย้ำนะย้ำ ถามคุณธนาธรว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไปขัดขวางขบวนการประชาธิปไตยอย่างไร ช่วยอธิบาย สงสัยจริง ย้ำนะย้ำ ถามคุณธนาธรว่า เมื่อพวกคุณกล้าที่จะแพร่ความคิดด้อยค่าสถาบัน ทำไมพวกคุณถึงไม่กล้าออกไปนำม็อบเสียเอง พุทธะอิสระแค่สงสัยแล้วถาม ผู้ที่อ้างอวดตัวเองว่าเป็นนักประชาธิปไตยทำไมคุณไม่ตอบคำถาม แต่ดันกลับมาด่าว่า ด้อยค่าผู้ถาม นี่หรือพฤติกรรมของผู้ที่เรียกตัวเองว่า นักประชาธิปไตย และขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะ พวกเรากำลังรอดูวุฒิภาวะของความเป็นผู้นำของคุณธนาธร ว่าจะกล้าออกมานำหน้าชูธงรบครั้งนี้หรือไม่...”
3) วันที่ 9 ตุลาคม 2563 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของนักศึกษาในวันที่ 14 ตุลาคม ว่า คณะก้าวหน้าเข้าร่วมการชุมนุมแน่นอน และมองว่าทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ คือนักศึกษาประชาชนได้ส่งเสียงความต้องการแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่มีการเรียกร้องด้วยอุดมการณ์เดียวกันทั่วประเทศ ดังนั้น ต้องถามผู้มีอำนาจว่า พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ พร้อมที่จะรับผิดกับการกระทำที่ผ่านมาและหาทางออกกับสังคมร่วมกันหรือไม่ แต่ตนไม่ได้ถูกทาบทามให้ขึ้นเวทีปราศรัย ส่วนที่นายสนธิญา สวัสดี ไปดำเนินการร้องต่อ ผบช.น.ให้ดำเนินคดีนายธนาธร ในข้อกล่าวหาความผิดตามมาตรา 112 นั้น นายธนาธร กล่าวสั้นๆ ว่า “ก็เอาเถอะครับ”
4) “ในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของสายธารประวัติศาสตร์ เป็นผู้รับภารกิจการต่อสู้มาจากคนยุค 6 ตุลา มีภารกิจที่เราต้องทำร่วมกันให้สำเร็จ คือการแก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ หากทำเช่นนั้นได้เราจึงจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยได้สำเร็จ” ธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ ประกาศกร้าวบนเวทีเสวนา เพื่อรำลึกครบรอบ44 ปี 6 ตุลา จัดโดยสโมสรนิสิต คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
5) นายอานนท์ นำภา ประกาศรวมทุกกลุ่มมาเป็นชื่อ “คณะราษฎร 2563” พร้อมภารกิจการชุมนุม 14 ตุลาคม 2563 ว่า “คณะราษฎรไม่ได้หายไปไหน แต่ยังคง
อยู่ในหัวใจของราษฎรทุกคนที่รักในประชาธิปไตย ณ สนามราษฎรเวลานี้ คณะราษฎรได้ก่อกําเนิดอีกครั้ง โดยมีเป้าหมาย เพื่อนําประชาธิปไตยกลับคืนสู่ปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้บริหาร ประเทศและเข้าสู่อํานาจอย่างหลอกลวง โฆษณาชวนเชื่อว่าสถานการณ์ยังอยู่ในการณ์ปกติ แท้จริงแล้วเศรษฐกิจกําลังพังพินาศ หลายล้านชีวิตต้องอดอยาก ในขณะที่ชนชั้น ศักดินา นายทุน และนายพล สุขสบายบนความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน เมื่อรัฐบาลไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องใดที่ผู้ชุมนุมก่อนหน้านี้ได้ประกาศไว้ เราในฐานะราษฎร และในนามคณะราษฎร ขอประกาศจัดการชุมนุม ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดําเนิน วันที่ 14 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป
โดยมีข้อเรียกร้องดังนี้ 1.ประยุทธ์ต้องออกไปจากการเป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงทุกองคาพยพด้วย 2.เปิดประชุมวิสามัญทันทีเพื่อรับร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจากประชาชนทั้งฉบับ และ 3.ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้กลับมาอยู่ตามครรลองภายใต้รัฐธรรมนูญระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
“ข้อเรียกร้องข้างต้นมิใช่การล้มล้างการปกครองหากแต่เป็นการทําให้ประเทศไทย กลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง เพื่อมิให้ต้องมีผู้ต้องอดอยากแร้นแค้นสูญเสียโอกาส สูญเสียอนาคต จากการบริหารที่ผิดพลาดและกฎกติกาที่บิดเบี้ยว”
6) นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ จากแกนนำคนเสื้อแดง สู่ข้าราชการการเมืองในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การชุมนุมในวันที่ 14 ต.ค. ซึ่งเป็นวันเปิดทำการปกติ จึงขอให้ผู้ชุมนุมตระหนักถึงตรงนี้ด้วย และการก้าวล่วงสถาบันเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ รวมถึงไม่ควรเข้าไปในสถานที่ราชการ จนทำให้เกิดการกระทำที่ผิดกฎหมาย และตนขอบอกไว้ว่าชีวิตความเป็นแกนนำเหมือนตนที่สุดแล้วต้องเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย ถูกดำเนินคดี และในปัจจุบันแกนนำคนเสื้อแดงหลายคนได้รับพระราชทานอภัยโทษ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ด้านการข่าวมีใครให้การสนับสนุนการชุมนุมครั้งนี้บ้าง นายสุภรณ์กล่าวว่า ด้านการข่าวมีข้อมูลว่ามีอดีตนักการเมือง อดีต สส.อดีตพรรคการเมือง ไปชักชวนปลุกระดมจะจ่ายค่ารถ ค่าเรือ ให้มาร่วมชุมนุม แต่หลายคนบอกว่าอยากได้เงิน แต่ไม่สามารถมาร่วมชุมนุมได้ เพราะรู้ว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่ใช่การเรียกร้องประชาธิปไตย แต่เพื่อก้าวล่วงสถาบัน จึงไม่เดินทางมากัน
เมื่อถามว่า สามารถเปิดเผยผู้ที่ชักชวนประชาชนได้หรือไม่ นายสุภรณ์กล่าวว่า เป็นอดีตนักการเมืองอดีต สส. รวมถึง สส.ปัจจุบัน ที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล ซึ่งเรามีหลักฐาน กำลังรวบรวมอยู่ ถ้าถึงขนาดเปิดเผยตัวบุคคลได้จะนำมาเปิดเผย และใครพบเห็นขอให้ถ่ายคลิปถ่ายวีดีโอไว้ด้วย เราจะนำมาเป็นหลักฐานประจานว่าคนเหล่านี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการยุยงปลุกระดมให้ออกมาล้มล้างสถาบัน ส่วนเรื่องการดำเนินคดีจะว่าไปตามกระบวนการ ใครที่อยู่เบื้องหลังเป็นผู้สนับสนุนชักจูงคนที่เกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายจะต้องถูกดำเนินคดี
7) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ที่ผ่านมาตั้งแต่ผมเข้ามาเป็นรัฐบาลปี’57 ผมไม่ได้ต้องการที่จะเข้ามา แต่ขอให้ย้อนไปดูว่าเกิดสถานการณ์อะไรขึ้น แล้วผมเข้ามาแล้วเกิดอะไรขึ้น จะว่าผมไปจำกัดสิทธิ และทำลายใคร ผมก็ไม่ได้ทำ เพียงแต่ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมทำงาน และไม่ได้ก้าวล่วง ผมก็ได้พยายามรักษาความปลอดภัย ของทั้งสองฝ่าย หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ถ้าเขาไม่ไปละเมิดและไปก้าวล่วงสถาบันฯ หรือไปด่าใคร ก็ไม่มีปัญหา แต่ถามว่าตอนนี้เขาทำไปเพื่ออะไร และพวกเรายอมได้หรือ ยอมตามที่เขาเสนอมาได้หรือ ที่เขาเกลียดชัง ไม่เคารพสถาบันฯ ทุกคนยอมหรือ ผมก็คิดว่าประเทศไทยคงอยู่ไม่ได้หรอก”
เมื่อถามถึง เรื่องการชุมนุมกับเส้นทางในการเสด็จพระราชดำเนินไปพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 14 ต.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขามีแผนอยู่แล้วในการถวาย
ความปลอดภัยและคงมีประชาชนออกมาเฝ้าฯรับเสด็จจำนวนมาก จึงไม่อยากให้อีกฝ่ายหนึ่งใช้สถานการณ์ในช่วงนี้ ซึ่งเป็นเวลาอันมงคล ทำกรรมดีก็ได้ดี ทำกรรมชั่วก็ได้ชั่ว ช่วงนี้เป็นช่วงพระราชทานผ้าพระกฐิน เขาทำบุญกันทั้งประเทศ มาทำลายบรรยากาศการกุศลได้อย่างไรไม่ควรเลย โตๆ กันแล้ว
“รัฐบาลก็เต็มที่ ผมก็เห็นใจลูกเด็กเล็กเเดง นักศึกษาคนไทย ซึ่งวันนี้ก็โลกยุคใหม่ จะทำอย่างไรประเทศไทย จะเป็นอย่างเขาเหรอ ซึ่งบริบทมันต่างกันฝากพวกเราทุกคนช่วยกันหน่อยเถอะช่วยนายกรัฐมนตรี ช่วยกันดูแลบ้านเมือง เพื่อลูกหลาน ทั้งนั้น ถ้ามันลำบากวันนี้ วันหน้าก็ลูกพวกเรา อนาคตมันมีอยู่ แต่อย่าทำอนาคตให้เสีย ด้วยการทำอะไรที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ผมฝากด้วยเเล้วกัน คนไทยด้วยกัน ไม่ว่าจะใครก็เกิดในเมืองไทยทั้งสิ้น อย่าลืมเเผ่นดินชาติเกิดตรงนี้ ไม่ว่าจะมาจากไหนก็เเล้วเเต่ ไม่ว่าจะเป็นคนจนคนรวย ก็แผ่นดินผืนนี้เขาปกป้องมาเท่าไหร่ บรรพบุรุษ พระมหากษัตริย์กี่พระองค์ จนเรามีที่อยู่ตรงนี้ ซึ่งถือว่าดีที่สุดในอาเซียน แล้วจะทำลายไปทำไม” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา การณ์กลับเป็นว่า การต่อสู้ครั้งนี้ว่าด้วย “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” กับ “ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์”
สถาบันฯ กลายเป็นเงื่อนไขของการต่อสู้
สู้โดยไม่มีความพยายามที่จะ “หาคำตอบร่วมกัน”
เหมือนทุกฝ่ายกำหนดท่าทีไว้ในทำนอง
ว่า มีแค่ 2 ตัวเลือก และต้องเลือกเอาคำตอบใดคำตอบหนึ่งเท่านั้น!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี