ในอดีต ขณะที่นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ อดีตประธานรัฐสภา เคยอุทานวลีนี้ ขณะประชุมสภาช่วงปี 2518 เพราะเกิดความวุ่นวายสับสนในระหว่างประชุมสภา นายประสิทธิ์พูดกระซิบกับนายประมวล กุลมาตย์ รองประธานสภาฯ โดยลืมไปว่า ไมโครโฟนกำลังเปิดอยู่ ทำให้ได้ยินเสียงไปทั่วห้องประชุมสภาฯ หนังสือพิมพ์เลยนำคำนี้ไปเขียนจนกลายเป็นคำพูดหรือวลีที่ฮิตติดปากของคนทั่วไป
คราวนี้ นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา และ อดีตสส.หลายสมัย นำมาใช้อีกครั้ง เมื่อแสดงความคิดเห็นถึงสถานการณ์การชุมนุม “แฟลชม็อบ” ของนักเรียน นิสิตนักศึกษาและประชาชนที่กระจายไปทั่วประเทศ ว่า ต้องใช้คำว่า “อย่างนี้ก็ยุ่งตายห่า..”
นายอุทัยกล่าวว่า ปัญหาบ้านเมืองเวลานี้เป็นผลมาจากการยึดอำนาจของคสช. หรือจะเรียกว่า มรดกบาปจากการรัฐประหารปี 2557 ก็ได้ การแก้ปัญหาความขัดแย้งแตกแยกตอนนั้นถือว่าพอไปได้ แต่พล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจแล้วไม่คืนอำนาจ มิหนำซ้ำ บอกว่าจะคืนความสุข ก็ไม่เห็นความสุข ตรงกันข้าม ประชาชนมีแต่ความทุกข์
“ผมเคยเตือนพล.อ.ประยุทธ์แล้วแต่ไม่ฟัง พล.อ.ประยุทธ์เป็นได้แค่กรรมการห้ามมวย อย่าลงไปต่อยเองแต่ไม่เชื่อ แล้วเป็นไง รัฐธรรมนูญเขียนให้สืบทอดอำนาจ วางกลไกที่เป็นพวกพ้องไว้หมด คอยเล่นงานฝ่ายตรงข้าม เกือบ 7 ปี รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ล้มเหลวทุกเรื่อง คอร์รัปชั่นเกิดขึ้นมากมาย คนยากจนเต็มไปหมด ทำให้คนออกมาขับไล่ให้ออกจากนายกฯ แต่พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมออก อย่างนี้ก็ยุ่งตายห่า น่ะสิ”นายอุทัยกล่าว
นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ลงในเฟซบุ๊คเรื่อง ม็อบต้องยุติการจาบจ้วงสถาบัน รัฐบาลต้องลดเงื่อนไขการชุมชน มีเนื้อหาระบุว่า สถานการณ์บ้านเมืองที่มีความเปราะบางอย่างยิ่งในขณะนี้ ต้องช่วยกันเปลี่ยนผ่านให้ได้อย่างสันติ โดยคู่ขัดแย้งในขณะนี้ คือ รัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุม ต้องยอมถอยคนละก้าว ผมไม่ได้เห็นด้วยกับม็อบเสียทุกข้อ โดยเฉพาะเรื่องปฏิรูปสถาบัน ที่ควรนำเสนอในเชิงวิชาการ ด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ลามปามจาบจ้วง จนคนไทยจำนวนมากรับไม่ได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงของคนในชาติในฐานะคนไทยที่มีความเป็นห่วงต่อผืนแผ่นดินเกิด ผมขอเสนอทางออก ดังนี้
ในส่วนของรัฐบาลต้องสนับสนุนให้การแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 272 ตัดอำนาจ สว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ให้เป็นผลทันทีในการประชุมสภาสมัยวิสามัญนี้ อย่าโยกโย้ ถ่วงเวลา จากนั้นนายกรัฐมนตรีต้องยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งจะช่วยบรรเทาสถานการณ์ไปได้ในระดับหนึ่ง และพรรคการเมืองทุกพรรคต้องประกาศร่วมกันว่า เมื่อกลับเข้าสู่สภาจะเดินหน้ายกเครื่องรัฐธรรมนูญใหม่ ที่สำคัญ พรรคไหนที่มีเป้าประสงค์เดียวกับผู้ชุมนุม ให้ใช้ประเด็นเรียกร้องในที่ชุมนุมไปหาเสียงให้ชัดเจน อย่าแอบซ่อน จะได้ให้ประชาชนตัดสินกันไปเลย ว่า ต้องการเห็นระบบการเมืองไทยเป็นแบบใด
ขณะที่ในส่วนของผู้ชุมนุม ต้องหยุดท่าทีก้าวร้าวจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ ที่นำไปสู่ความเกลียดชัง มากกว่าการพัฒนาเปลี่ยนแปลง หันมานำเสนอข้อมูลในเชิงวิชาการที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางปฏิรูปสถาบันที่พวกท่านเรียกร้อง ส่งตรงเป็นเอกสารไปยังรัฐสภา รวมถึงส่งตัวแทนเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อจะได้นำทุกประเด็นเรียกร้องมากางกันบนโต๊ะ นำการเมืองบนถนนกลับสู่เวทีรัฐสภาอีกครั้ง
“เราต้องยอมรับความจริงว่า ความขัดแย้งรอบนี้มาไกล เพราะผู้มีอำนาจประเมินสถานการณ์พลาด ประกอบกับสังคมกำลังเคลื่อนสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ ที่เราต้องช่วยกันรักษาสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งให้อยู่คู่กับสังคมไทยต่อไป แต่ไม่ใช่ด้วยการปราบปราม หรือกดทับปัญหาไว้ใต้พรม เพราะรังแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ถ้านายกรัฐมนตรี จงรักภักดีจริงดังคำปฏิญาณที่ให้ไว้ว่าจะปกป้องสถาบันยิ่งชีวิต วันนี้ท่านมีทางเลือกที่ดีกว่าสละชีวิต คือ แก้รัฐธรรมนูญตัดอำนาจ สว.ทันทีแล้วยุบสภาล้างกระดานการเมืองกันใหม่ ก่อนความรุนแรงที่ยากเกินควบคุม”
นายเชาว์ ระบุทิ้งท้าย
ด้าน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สส.ตรัง เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ว่า ถือเป็นวิกฤติการเมืองที่เกิดขึ้น โดยที่ประเทศเผชิญวิกฤติใหญ่ 3 เรื่อง คือ
1.วิกฤติด้านการแพร่ระบาดของไวรัสโควิค-19 ซึ่งยังไม่จบเด็ดขาด ต้องมีมาตรการดูแล
2.วิกฤติด้านเศรษฐกิจโดยได้รับผลกระทบมาจากโควิค-19 มีผลกระทบต่อหนี้ครัวเรือน กำลังซื้อ ตลอดจนงบประมาณของรัฐ ต้องออกพระราชกำหนดเงินกู้มาช่วยในการพัฒนาประเทศ
พอ 3.วิกฤติการเมืองเข้ามาทำให้สถานการณ์ของประเทศอยู่ในประเภทที่มีความเปราะบาง เพราะฉะนั้นหน้าที่นี้ ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลแต่อย่างเดียว แต่เป็นหน้าที่ของรัฐสภาด้วย เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกส่วนที่จะช่วยกันพาประเทศให้รอดฝ่าวิกฤติไปได้ ในแง่ของไวรัสโควิดทุกคนช่วยกันอยู่แล้ว ในแง่เศรษฐกิจตนว่าเป็นเรื่องของรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีบทบาทหลัก
แต่วิกฤติการเมืองทุกคนช่วยได้ในขณะนี้ ปัญหาวิกฤติการเมืองในขณะนี้ คือ การลุกขึ้นชุมนุมของกลุ่มนิสิต นักศึกษา ซึ่งขณะนี้ไม่ใช่มีเพียงกลุ่มนิสิต นักศึกษา เท่านั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2563 ชี้ให้เห็นชัดว่ากลุ่มการเมืองทั้งหลาย ซึ่งไม่พอใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คสช. หรือพรรคพลังประชารัฐมาตั้งแต่ต้น เข้ามาผสมโรงด้วย การชุมนุมเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2563 ไม่ใช่มีเพียงจุดอโศก อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเท่านั้น แต่มีปริมณฑลรอบๆ เช่น สำโรง ซึ่งเป็นถิ่นของ นปช. สมุทรสาคร สมุทรปราการ นนทบุรี และปทุมธานี และอีกหลายจังหวัด
“การแก้ไขวิกฤติทางการเมืองที่เกิดขึ้นในเวลานี้ฝ่ายของรัฐสภาได้มีการเสนอตัวพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งให้เป็นเวทีที่จะมีการพูดคุยเพื่อหาทางออก ซึ่ง ครม.จะมีการหารือในเรื่องนี้ และเป็นเจ้าภาพเพื่อขอให้เปิดรัฐสภา พูดคุยหาทางออกแก้ปัญหาวิกฤติทางการเมือง แต่ประเด็นของผมในขณะนี้มองว่าที่หลายฝ่ายเรียกร้องรัฐสภา ฝ่ายรัฐสภา รัฐบาลพร้อม แต่ฝ่ายกลุ่มผู้ชุมนุมยังไม่เคยพูดเรื่องนี้ ผมไม่รู้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมคิดอย่างไร” นายสาทิตย์ กล่าว
นายสาทิตย์ระบุว่า เนื่องจากปัญหาของกลุ่มผู้ชุมนุมขณะนี้ไม่มีแกนนำ ทุกคนสามารถเป็นแกนนำได้ ซึ่งคำว่าทุกคนสามารถเป็นแกนนำได้ฟังดูสวยหรูดูดี แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วคือมันจะกลายไปเป็นลักษณะของอนาธิปไตย หมายถึงใครคิดจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยในเวลาที่มีระบบ ระบอบการที่จะตัดสินใจเรื่องราวต่างๆจะใช้แนวคิดอนาธิปไตยไม่ได้ เพราะฉะนั้นข้อเรียกร้องต่างๆของกลุ่มผู้ชุมนุมในขณะนี้ดูเหมือนว่าจะชัด แต่ไม่มีใครรับรองได้ว่าเป็นข้อเรียกร้องที่ชัดเจน
“ผมจึงกังวลว่าการเปิดประชุมรัฐสภามีข้อดีแน่นอนที่จะได้พูดคุยกัน ซึ่งรัฐบาลต้องรับฟังความเห็นของ สส.ด้วย แต่กลุ่มผู้ชุมนุมจะมีท่าทีในการสนองตอบหรือไม่อย่างไร หรือรัฐสภาประชุมไปข้างนอกก็ชุมนุมกันไป ถ้าเป็นแบบนี้ แนวคิดแนวทางแก้ปัญหาของรัฐสภาจะบรรลุผลสำเร็จได้อย่างไร หากกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้ความร่วมมือ”
นายสาทิตย์กล่าวอีกว่า ตนมองว่าปัญหาของกลุ่มผู้ชุมนุมการไม่มีแกนนำ รวมถึงการเชื่อมต่อของการใช้โซเชียลมีเดียทุกคนก็รูว่าโซเชียลมีเดียมีลักษณะโน้มเอียงไปในทางที่ใครชอบอะไรก็ไปทางนั้น เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะรับฟังรอบด้านในโซเชียลมีเดียไม่มีเลย ในเมื่อไม่มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาผ่านรัฐสภาจะผ่านไปถึงกลุ่มผู้ชุมนุมได้อย่างไรซึ่งเป็นปัญหา ดังนั้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับผู้ชุมนุมจะต้องไปพูดคุยกัน จะใช้วิธีแบบนี้ทุกวันจนกว่าจะบรรลุผลที่ต้องการจะเกิดความเสียหายขึ้นอีกมากมายแน่นอน ข้อเสนอของตนจึงอยากให้กลุ่มผู้ชุมนุมควรจะมีการพูดคุยกันให้ชัดในเรื่องของข้อเสนอ ส่วนข้อเสนอเรื่องสถาบันเป็นข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นข้อเสนอที่คนส่วนใหญ่ในประเทศรับไม่ได้
“สำหรับข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกนั้น ผมเข้าใจว่าบางทีเรียกร้องไปแล้ว ไม่ได้ดูว่ามันย้อนแย้งกับสิทธิที่เรียกร้องก่อนหน้านี้หรือไม่ การเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญซึ่งการแก้ต้องอาศัยรัฐสภา นายกฯ ลาออกจะทำอย่างไร จะต้องเลือกตั้งกันใหม่ ขั้วการเมืองเกิดการตกลงกันไม่ได้ หรือมีปัญหาในที่สุดจะนำไปสู่การยุบสภาหรือไม่ หากยุบสภา แก้รัฐธรรมนูญก็เดินไม่ได้ ผมจึงคิดว่าข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกเป็นข้อเรียกร้องหนึ่งที่สะท้อนความต้องการของกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ปัญหาต้องดูว่าต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ตัดอำนาจ สว.นำไปสู่การเป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้หรือไม่ ถ้าใช่ก็ควรมีระยะเวลา ซึ่งขณะนี้กลุ่มชุมนุมมีหลายกลุ่มไม่รู้ว่าใครเป็นใคร การไม่มีแกนนำ ปัญหาจะเกิดขึ้นอย่างที่บางนา และไม่มีใครรับรองได้ว่าความรุนแรงแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นในที่อื่นอีกหรือไม่ อีกทั้งการใช้วาจาถ้อยคำก้าวร้าวและรุนแรง” นายสาทิตย์ กล่าว
(ในข้อนี้ผม-ผู้เขียน เข้าใจว่านายสาทิตย์สับสนระหว่างนายกฯ ลาออก กับยุบสภา เพราะแค่นายกฯลาออก ยังไม่ต้องเลือกตั้งใหม่ แต่ให้รัฐสภา เลือกนายกฯ จากบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคการเมืองยื่นกับ กกต.ไว้ต่อไป ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังมีสิทธิได้รับเลือก หรือจะไปก๊อกสอง คือเลือกคนนอก ก็มีขั้นตอนเขียนไว้อยู่ โดยยังมิต้องยุบสภา เลือกตั้งใหม่)
ขณะที่ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความต่อเนื่องเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุม ลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว “Suvinai Pornavalai” โดยมีเนื้อหาดังนี้
“ถาม : อาจารย์สุวินัยครับ ถ้านายกฯลาออกจะแก้ปัญหาได้มั้ยครับ
ตอบ : ไม่เลยครับ จะเกิดมิคสัญญีทีทันที
นี่แหละคือสิ่งที่พวกนั้นต้องการ ข้อเรียกร้องให้นายกฯลาออกคือ กลลวงอาบยาพิษ ต่อให้ยุบสภา ก็จะเกิดมิคสัญญีอยู่ดี การเปลี่ยนแม่ทัพกลางศึก หรือไร้แม่ทัพระหว่างการทำศึก คือข้อห้ามของตำราพิชัยสงครามสโลแกนที่ชูว่าทุกคนคือแกนนำ คือพวกที่ปัญญาอ่อนสิ้นคิดในเรื่องพิชัยสงคราม”
ครับ, เมื่อประมวลความเห็นมาทั้งหมดข้างต้นแล้ว สิ่งเดียวที่เราทุกคนจะอุทานออกมาเหมือนกันก็คือ“อย่างนี้ ยุ่งตายห่า” !!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี