ปี 2563 จัดได้ว่าเป็นปีแห่งความสาหัสชนิดที่มวลมนุษย์ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนเนื่องมาจากผลพวงจากเหตุการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก ได้ทำการซ้ำเติมประเด็นปัญหาโลกที่ค้างคาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสภาวะโลกร้อน อาชญากรรมข้ามชาติ ความสุดโต่งทางความคิดและการใช้ความรุนแรง ความเหลื่อมล้ำในสังคม การใช้อำนาจโดยมิชอบและการทุจริตคอร์รัปชั่น การกลับมาของลัทธิอำนาจนิยมแบบเผด็จการ ความตกต่ำของศีลธรรม และความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ไปจนถึงการชิงดีชิงเด่นเพื่อความอยู่รอดและความได้เปรียบ
บัดนี้ โลกได้ก้าวเข้าสู่ปี 2564 ซึ่งมนุษยชาติเพิ่งจะประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ซึ่งชาวโลกต่างก็หวังว่าความสูญเสียต่างๆ รวมทั้งยอดผู้เสียชีวิตจะบรรเทาเบาบางลงไป รวมทั้งการชะงักงันของข้อจำกัดในชีวิตและการทำมาหากินก็น่าจะคลายตัวลงไปในระดับหนึ่ง ซึ่งชีวิตประจำวันในสังคมก็จะสามารถกลับมาสู่ความเป็นปรกติได้มากขึ้น
แต่ประเด็นปัญหาของโลกนั้นยังคงมีอยู่ให้ชาวโลกต้องร่วมมือกันแก้ไขต่อไป ซึ่งอย่างน้อยก็ยังพอมีหวังกันอยู่บ้าง หากมนุษย์จะไม่ถูกทับถมด้วยโรคระบาดสายพันธุ์ใหม่อีก
จากวิกฤตการณ์โควิด-19 ผู้คนและประเทศต่างๆ น่าจะเริ่มตระหนักได้แล้วว่า ประเด็นปัญหาของโลกเหล่านั้น จะต่างคนต่างเผชิญ หรือต่างคนต่างแก้ไขไม่ได้อีกแล้ว หากแต่จำต้องร่วมมือกันเท่านั้น ถึงจะฝ่าฟันไปได้ ดังนั้นเมื่อตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันแล้ว ก็จะต้องนำไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปเป็นร่างให้ได้
โดยในหมู่มวลมนุษย์ หรือสังคมใดๆ นั้นมักจะต้องมีผู้นำ ผู้ริเริ่ม ผู้ขับเคลื่อน และผู้สนับสนุนเป็นองค์ประกอบ
ในวันนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกาก็ยังถือว่าเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลสูงสุดอยู่ โดยที่ผ่านๆ มา สหรัฐฯก็ได้มีส่วนนำพาโลกมา (อย่างน้อยก็นับตั้งแต่การสิ้นสุดของสงครามโลก ครั้งที่ 2 และสงครามเย็น) แต่ในระยะ 4 ปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาภายใต้ผู้นำนามว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความปั่นป่วน สับสน กังวลใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวให้กับทั่วโลกเพราะผู้นำสหรัฐฯ คนนี้ มีเป้าประสงค์ที่จะนำสหรัฐอเมริกาไปในโลกกว้างแต่ผู้เดียว หรือนัยหนึ่งคือยึดเอาผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเป็นที่ตั้ง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ใด ไม่สนใจไยดีกับมิตรสหาย และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูคู่อริ โดยไม่สนใจการเล่นตามกติกาสากล ไม่มีนโยบายร่วมด้วยช่วยกัน และโดยทั่วไปมีพฤติกรรมชวนทะเลาะทั้งในเวทีการเมืองภายในประเทศและภายนอกประเทศ แถมยังไม่ฟังใคร ถึงขนาดเรื่องการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 ก็ไม่ใส่ใจจะฟังคำแนะนำจากวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ มุ่งเอาความคิด เอาความรู้สึกของตนเองเป็นที่ตั้ง พฤติกรรมดังกล่าวได้กลายเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้เขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดี จนไม่ได้ดำรงตำแหน่งรอบที่ 2 อย่างที่ตั้งใจไว้
โลกต่างหวังว่า ผู้นำสหรัฐอเมริกาคนใหม่อย่าง นายโจ ไบเดน จะดำเนินการบริหารประเทศแบบตรงกันข้ามกับที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เคยทำมา นั่นคือ แสวงหาความร่วมมือทั้งภายในและระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการร่วมกันรับผิดชอบ เพื่อแก้ปัญหา และให้โลกสามารถก้าวไปข้างหน้าร่วมกันได้
ในขณะเดียวกัน ผู้นำของประเทศหลักๆ โดยเฉพาะจีน รัสเซีย และอิหร่าน ก็จะต้องปรับกระบวนยุทธ์เช่นกัน คือ ลดการเอาแพ้เอาชนะ ไปสู่การหันหน้าเจรจา และร่วมมือกัน เพราะโลกมากด้วยปัญหาที่ต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศ
ก็หวังว่าปี 2564 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาร่วมมือกันระหว่างประเทศอีกครั้ง ของมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะในเรื่องใหญ่ๆ ที่เป็นภยันตรายต่อทุกประเทศอย่างวิกฤติโลกร้อน และผลกระทบจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งจัดได้ว่า เป็นภาระหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการดำรงอยู่ของมวลมนุษยชาติต่อไปในอนาคต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี