คณะทำงานและคนใกล้ชิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ควรขีด “เส้นใต้บรรทัด” 500 เส้น เพื่อเน้นประโยคดังต่อไปนี้
1) นายกรัฐมนตรี เปลี่ยนไป ไม่เด็ดขาด จัดการหัวหน้าส่วนราชการที่เป็นต้นเหตุโควิดรอบใหม่ ไม่เหมือนช่วงยึดอำนาจใหม่ๆ
2) นายกรัฐมนตรี ควรไล่บี้ รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง จัดการหัวหน้าส่วนราชการต้นเหตุโควิดรอบใหม่
3) ต้องการเห็นการปฏิรูปการทำงานของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ตำรวจ แรงงาน มหาดไทย ถอนรากถอนโคน ขบวนการต้นตอแพร่เชื้อโควิด คืนความสุขประชาชนเหมือนเคยสัญญาไว้ หลังยึดอำนาจปี 2557
โดยเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2564 ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เปิดเผย
ผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง โควิด กับการปฏิรูป กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,445 ตัวอย่าง โดยเมื่อถามความเห็นของประชาชนต่อหัวหน้าส่วนราชการในการแก้ปัญหาโควิดรอบใหม่ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.5 ระบุ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐ คือ ต้นตอ และอุปสรรค แก้วิกฤติชาติและโควิดรอบใหม่ ทั้งทุจริตต่อหน้าที่ ปล่อยปละละเลย และมีส่วนทำเอง
รองลงมาส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 98.3 ระบุ นายกรัฐมนตรี ควรไล่บี้ รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง จัดการหัวหน้าส่วนราชการต้นเหตุโควิดรอบใหม่ ร้อยละ 96.5 ระบุ ถ้าจัดการ ผู้บัญชาการตำรวจแต่ละระดับ ก็ต้องจัดการหัวหน้าส่วนราชการอื่นๆ ด้วย เช่น กระทรวงแรงงาน และกระทรวงมหาดไทย เพราะอยู่ในพื้นที่เกี่ยวข้องทั้งแรงงานต่างด้าว และบ่อน
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 96.3 ระบุ สิ่งที่เห็นคือ ความจอมปลอมของนักการเมือง ผู้มีอำนาจรัฐท่าทีขึงขังจัดการบ่อนพนัน แต่หลังลงพื้นที่เจอผลประโยชน์เอื้อ เรื่องเงียบ และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.9 ระบุ นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนไป ไม่เด็ดขาด จัดการหัวหน้าส่วนราชการที่เป็นต้นเหตุโควิดรอบใหม่ ไม่เหมือนช่วงยึดอำนาจใหม่ๆ
ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.9 ต้องการเห็นการปฏิรูปการทำงานของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ตำรวจ แรงงาน มหาดไทย ถอนรากถอนโคนขบวนการต้นตอแพร่เชื้อโควิด คืนความสุขประชาชนเหมือนเคยสัญญาไว้ หลังยึดอำนาจปี 2557 ในขณะที่เพียงร้อยละ 3.1 ไม่ต้องการ
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า “อิทธิพลมืด บดขยี้ อำนาจรัฐ”กำลังเป็นภาพเด่นชัดขึ้น หลังโควิดระบาดรอบใหม่สะท้อนอำนาจรัฐอ่อนแอ แต่ทำเป็นขึงขังจัดการเด็ดขาดแต่แพ้ผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องที่เกี้ยเซียะลงตัวจนเรื่องเงียบ แต่ที่เด่นดังเห็นชัดคือ ความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชนเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า
ส่วนสัญญาประชาคมที่จะคืนความสุขของประชาชนจาก นายกรัฐมนตรีและผู้หลักผู้ใหญ่ที่ดูแลปกครองบ้านเมืองก็ถูกทวงถามมาตลอด ตอนนี้ ณ เวลานี้ ถ้ามีอัศวินขี่ม้าขาวจากเบื้องบนสั่งการระดมกำลังกวาดล้างครั้งใหญ่ ปฏิรูปการทำงานของข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ หัวหน้าส่วนราชการทุกหน่วยทุกระดับในห้วงเวลานี้ได้ “จริงจัง ต่อเนื่อง”ผลที่ตามมาคือ ความศรัทธาภักดีจากกลุ่มราษฎรประชาชนทั้งประเทศต่อเสาหลักของชาติจะกลับคืนมาได้ไม่ยากนัก แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อ เพราะส่วนนี้คือ ข้อเสนอแนะ
ก่อนหน้าผลการสำรวจนี้จะออกมา เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับประชาชนผ่านเสียงในรูปแบบออนไลน์ (PODCAST) ถึงปัญหาบ่อนการพนันและแรงงานผิดกฎหมาย ว่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้ว มากบ้างน้อยบ้างอะไรเหล่านี้ และในวันนี้ในเมื่อสถานการณ์มันบานปลายมาสู่เรื่องนี้ ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างเฉียบขาด และรัฐบาลเองก็ไม่ต้องการให้เกิดอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ก็ไม่ต้องการให้เกิด แต่อาจจะมีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ดีและอาจจะมีคนเสนอผลประโยชน์ให้นั่นแหละมันสองทางเสมอ ฉะนั้น เราต้องช่วยกันขจัดคนไม่ดี เจ้าหน้าที่ไม่ดีออกไป วันนี้รัฐบาลเต็มที่
“ผมยืนยันว่าผมไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเราโทษกันไปมาโดยเราไม่มองว่าจะช่วยกันอย่างไร มันก็หาทางออกไม่ได้อยู่ดี ฉะนั้น อันนี้ขอฝากไว้ด้วย ปัญหาเหล่านี้เหมือนหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่มีมายาวนาน ทั้งเรื่องยาเสพติด การตัดไม้ทำลายป่า และอีกเยอะแยะที่เป็นปัญหาของบ้านเรา เราต้องหาวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมดำเนินการบนพื้นฐานของกฎหมาย และดำเนินการอย่างระมัดระวัง เรามีทั้งคนดีและคนไม่ดีอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ ผมก็รังเกียจคนเหล่านี้ ก็ต้องช่วยกัน มีอะไรก็แจ้งมา ผมเองยืนยันว่าไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์ใดๆ จากใครก็ตาม ฉะนั้นถ้าใครจะเอาไปอ้างสอบถามผมมาก่อน อย่าไปเชื่อเขา และบางอย่างผมก็แปลกใจว่า ทำไมมาเกี่ยวข้องก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉะนั้นขอฝากด้วยสำหรับผู้ที่อ้างอะไรต่างๆ เลิกได้แล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่อ้างว่าเป็นเพื่อนผม อ้างเป็นญาติผม อ้างอะไรก็แล้วแต่ผมยืนยันว่าผมทำเพื่อประชาชน ไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัวหรือเพื่อญาติพี่น้องใดๆ ทั้งสิ้น อันนี้ขอให้ทุกคนได้เข้าใจซึ่งกันและกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณี พล.อ.ประยุทธ์สั่งตั้งกรรมการสืบสวนบ่อนการพนันว่า
อีก 1-2 วัน จะสามารถได้คณะกรรมการชุดดังกล่าว ขณะนี้กำลังทาบทามรายชื่อคณะกรรมการและประธานอยู่ ซึ่งไม่จำเป็นว่า คนที่เป็นประธานฯจะต้องเป็นรัฐมนตรี ส่วนกรรมการฯ จะประกอบด้วยหน่วยงานที่มีหน้าที่ ที่จะต้องทำ และเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการดำเนินการ เพราะเรื่องนี้ไม่เหมือนกับการตั้งคณะกรรมการชุด นายวิชา มหาคุณที่มาสะสางปัญหาเรื่องคดีบอส นายวรยุทธ อยู่วิทยาที่ขับรถชนตำรวจตาย เพราะเรื่องบอส เป็นการสอบถามข้อเท็จจริง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไปหาว่าใครทำผิด ดังนั้น ถึงเจอว่าใครทำผิด ก็ทำอะไรต่อไม่ได้ นอกเสียจากให้ 5 หน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ให้เป็นคนจัดการ แต่จะต้องทำอย่างไร ก็ขอให้คณะกรรมการ 1-2 ชุดที่จะตั้งนี้เข้าไปประสานงานทุกอย่างกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวจะแตกเป็น 2 ประเด็นคือ
1.เรื่องคนต่างด้าวที่เข้ามา เพราะอาจไม่ใช่แรงงาน เช่น โรฮีนจา และ 2.เรื่องของบ่อน หรือสถานบริการเล่นการพนัน
ซึ่ง 2 ประเด็นนี้ปกติไม่เกี่ยวกัน แต่ขณะนี้กลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันแล้ว เพราะคนต่างด้าวนำเชื้อโควิด-19เข้ามาเผยแพร่ และเข้ามาทำงานในบ่อนเมื่อคนไปเที่ยวบ่อน ก็กลายเป็นตัวแพร่เชื้อโรคไป ดังนั้นจึงกลายเป็นการเชื่อมโยงกัน
“บ่อนเป็นเรื่องผิดกฎหมายและต้องจัดการ ไม่ว่าจะมีโควิด-19 หรือไม่มีก็ตาม แต่ขณะนี้กลายเป็นประเด็นพิเศษขึ้นมา เพราะมันกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโควิด-19
ดังนั้น อาจต้องมีคณะกรรมการ 1-2 ชุด ที่ทำเรื่องนี้ ซึ่งกำลังหารือกับผู้เกี่ยวข้องอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการที่จะเข้ามา จะเป็นเพียงผู้ประสานงาน กำกับ เร่งรัด รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์จากประชาชนที่อาจจะไม่กล้าไปแจ้งตำรวจ แล้วคณะกรรมการชุดนี้ เมื่อรับเรื่องก็จะนำผลสอบไปให้หน่วยงานต่างๆ เพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเข้าไปดำเนินการจับ ย้าย ทำไม่ได้สักอย่าง แต่ทุกอย่างจะต้องนำเสนอต่อนายกฯ”นายวิษณุ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะถือเป็นความผิดภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯด้วยหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เป็นการบูรณาการ ที่จะทำให้เห็นว่า การทำอย่างนั้น ถือเป็นความผิดกฎหมาย 5-6 ฉบับ เช่น พ.ร.บ.โรคติดต่อ, พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, กฎหมายแรงงานต่างด้าว, กฎหมายเข้าเมือง และกฎหมายปราบปรามการค้ามนุษย์
ทั้งนี้ ไม่มีการตั้งกรอบเวลาการทำงานของคณะกรรมการชุดดังกล่าว แต่ให้ทำไปเรื่อยๆ พร้อมกับรายงานเป็นระยะๆ ต่อนายกฯ เหมือนกับชุดของนายวิชา ที่รายงานทุก 30 วัน และเมื่อทำงานไปได้ 2 เดือน เสร็จ จบแล้วก็สลายตัว แต่สำหรับคณะกรรมการฯชุดนี้ ยังไม่ทราบระยะเวลา เนื่องจากเป็นการทำงานในกรอบที่ใหญ่กว่าคดีบอส ซึ่งนั่นเป็นเรื่องตัวเดียวอันเดียวประเภทเดียว แต่เรื่องนี้มีหลายประเภท เพราะพูดถึงเรื่องบ่อนก็เริ่มตั้งแต่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ถึงอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อพูดถึงแรงงานต่างด้าวข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย เราก็พูดถึงพรมแดน 2 พันกว่ากิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม การทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ จะมีแนวทางไปถึงการวางมาตรการป้องกันด้วยเพราะเรื่องการจัดการเป็นหน้าที่ของหน่วยงาน เป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่หากเขาไม่ทำก็ต้องโดนโทษละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ฟังจากนายกฯ แล้ว ท่านยังคง “ลอยตัว” ออกมาจากตัวปัญหาและคนทั้งหลาย เพื่อมายืนหยัดอยู่กับคำว่า“ผมเป็นคนดี” อย่างที่แล้วๆ มาเสมอ จนลืมไปว่า “ภาวะผู้นำ” ต้องแสดง “การนำ” ที่เฉียบขาด ฉับไว และมีประสิทธิภาพคู่กันไปด้วย ไม่ใช่แค่ “เป็นคนดี” เพราะเราไม่ได้มีนายกรัฐมนตรีไว้ถวายดอกไม้ธูปเทียนแล้วก้มลงกราบแต่เรามีไว้ทำงาน ซึ่งการมีนายกฯ เป็นคนดีนั้นดีแน่ แต่คนดีทำงานไหม กล้าหาญไหม โดยเฉพาะในภาวะวิกฤติโรคระบาดที่กำลังลามไปสู่วิกฤติศรัทธาอย่างปัจจุบันนี้
ในเวลาเดียวกัน 9 มกราคม 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ค ในประเด็น
“เรื่องต้องคิด ต้องแก้ คนทำผิดได้สิทธิ สุจริตชนเสียโอกาส รัฐเสียเงิน” โดยมีเนื้อหาดังนี้
...เช้าถึงเที่ยงวันนี้ ผมเข้าประชุมกับคณะแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข ด้วยความไม่สบายใจ
...คณะแพทย์ พูดถึงเรื่องการลักลอบเล่นการพนันที่ยังมีอยู่ ซึ่งตำรวจจับได้ตามข่าว และการเข้ามาของคนไทยที่มีอาการป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ชายแดนแม่สอดจังหวัดตาก ถูกนำตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล
...ยังมีอีก 200-300 คน ที่ลักลอบข้ามแดนออกไปทำงานในบ่อน รอกลับเข้ามา เพราะบ่อนปิด และมีอาการป่วย
...ผมตั้งคำถามกับที่ประชุมว่า กับผู้กระทำผิดกฎหมาย ทั้งเล่นการพนัน ลักลอบข้ามแดนไปมาแล้วป่วย โรงพยาบาลต้องเสียเงิน เสียทรัพยากร เสียกำลังคน ไปดูแลคนเหล่านี้ และต้องจำกัดเวลาให้บริการประชาชนทั่วไป ต้องเลื่อนนัดทั้งตรวจรักษา ผ่าตัด รับยา
...เงินงบประมาณที่ควรจะเอาไปดูแลรักษาประชาชนทั่วไป ต้องเอามาใช้ดูแลคนทำผิดกฎหมายเหล่านี้อีกนาน และมากแค่ไหนยังไม่รู้
...ประชาชน คนทำมาหากินสุจริต ร้านค้า ร้านอาหาร ผู้ประกอบการธุรกิจ จะต้องเสียเงิน เสียรายได้ เสียโอกาสการทำงาน และการมีงานทำ ไปอีกนานเท่าไร
...อันที่จริง กฎหมายโรคติดต่อ มาตรา 41 และ 42 กำหนดไว้ชัดว่า คนที่เป็นเจ้าของพาหนะหรือนำผู้ป่วยผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อโรค รวมทั้งผู้เดินทางเข้ามาต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกักตัว เฝ้าระวังอาการ ดูแล รักษาพยาบาล รวมถึงการป้องกัน ควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ และการส่งเสริมภูมิคุ้มกันโรค คนที่พาเข้ามาและตัวเอง โดยที่รัฐไม่ต้องจ่ายให้
...แต่ก็ถูกแย้งว่าไม่สามารถทำได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 กำหนดไว้ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดย
ไม่เสียค่าใช้จ่าย”
...คำถามคือ รัฐควรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาผู้กระทำผิดกฎหมายเหล่านี้ หรือหากต้องจ่ายก็น่าจะต้องเรียกเก็บจากผู้ที่นำเชื้อโรคเข้ามา ทั้งผู้ป่วยและผู้จัดหา นำเข้ามา จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้
...ผมจะนำเรื่องนี้ไปประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางปฏิบัติ ป้องกันไม่ให้มีการกระทำผิดกฎหมาย โดยไม่มีความรับผิดชอบ เพราะคิดว่า เมื่อป่วย รัฐมีหน้าที่ต้องรักษาให้ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อีกต่อไป #คนทำผิดต้องไม่ได้รับสิทธิเท่าสุจริตชน
นี่คือเรื่องที่ “ตรงกับใจ” ประชาชนที่สุด
น่ายกฯ ควรเรียนรู้ท่าทีแบบนี้ ยิ่งท่านมีอำนาจเต็มในฐานะนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติและเป็นผู้อำนวยการ ศบค. ที่กำกับดูแลประเทศตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่ามัวแต่ออกแขกว่า ผมเป็นคนดี เรื่องนี้เกิดมานานแล้ว ใครมีข้อมูลก็แจ้งมา ผมต้องใช้เวลาจัดการ เพราะทุกที่นั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี
โอ๊ยยย...อุทานแบบชาวบ้านทั่วไปก็คือ “ฉิบหายกันพอดี”
พูดให้เพราะกว่านี้ ก็ต้องบอกว่า “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้”
คนเขาถึงบอก “นายกรัฐมนตรี เปลี่ยนไป ไม่เด็ดขาดจัดการหัวหน้าส่วนราชการที่เป็นต้นเหตุโควิดรอบใหม่ไม่เหมือนช่วงยึดอำนาจใหม่ๆ”
ฟังให้ได้ยินบ้างนะครับ ท่านนายกฯ บอลลูน(ลอยเก่งแหละ ดูออก)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี