วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
จนบัดนี้ โรคระบาดไวรัสโควิด-19 ก็ยังขยายตัวอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลต่างๆ จะเพียรพยายามอย่างเข้มข้นเข้มแข็ง ในการที่จะตีกรอบและดันมันกลับไป ท่ามกลางข่าวดีที่ว่า ได้มีการค้นพบวัคซีน และเริ่มใช้กับประชาชนพลเมืองแล้วในบางประเทศ แต่กว่าวัคซีนจะไปถึงตัวประชากรของโลกส่วนใหญ่ 8,000 กว่าล้านคน ก็ยังต้องรอเวลาเป็นปีๆ ซึ่งในขณะเดียวกันแต่ละรัฐบาลก็ต้องประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ฉะนั้น มาตรการในการเผชิญหน้ากับปัญหาไวรัสโควิด-19 และการประคองคุณภาพชีวิตของผู้คน จึงไม่ใช่เรื่องเพียงระยะสั้นประเดี๋ยวประด๋าว หากแต่ต้องมองเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องระยะยาว (อย่างน้อยไปอีก 3-5 ปีข้างหน้า)
และเมื่อมองมาตรการของรัฐบาลไทยในช่วงปีที่ผ่านมาจะพบว่ามุ่งเน้นหนักไปที่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และยังสาละวนอยู่กับการอัดฉีดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมต่อเนื่องเป็นหลัก ทั้งวิธีการแจกเงิน และผันเงิน เช่น การดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการ ทั้งการกู้แบบผ่อนปรน การเลื่อนการชำระหนี้ทั้งต้นและดอก การค้ำประกันการกู้รุ่นใหม่ เป็นต้น สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไทยมิได้มองประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขในภาพรวมและในระยะยาว เพราะมีแต่มาตรการระยะสั้น
ตรงกันข้ามกับหลายประเทศที่เขาเลือกที่จะดำเนินการควบคู่กัน ทั้งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการวางมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม (คุณภาพชีวิต) ในระยะยาว ผสมกันไป ด้วยการแจกเงิน การปล่อยเงินกู้ผ่อนปรน การช่วยออกค่าเช่าสถานที่ประกอบการ การลดค่าสาธารณูปโภค การช่วยค่าจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์เพื่อกิจการและที่สำคัญที่สุดก็คือ เงินที่รัฐจ่ายออกไปนั้นมีวัตถุประสงค์ในการสร้างงาน ควบคู่กับการฝึกอาชีพและทักษะใหม่ๆ ที่จะใช้นำพาประเทศหลังวิกฤติไวรัสโควิด-19 อีกด้วย
ในการนี้ ก็เลยอยากจะฝากเป็นข้อคิดแก่นักวางแผนในแวดวงราชการ นักวิชาการ และนักการเมืองผู้บริหารบ้านเมืองว่า ควรจะเลิกวุ่นวายกับเพียงแค่การแจกจ่ายเงินให้เปล่าในวิธีต่างๆ ได้แล้ว เพราะมันเป็นแค่เรื่องเฉพาะกิจเฉพาะการ และพละกำลังทางการเงินของประเทศไทยด้วยตนเองนั้น ไม่สามารถที่จะยืนบนวิธีประชานิยมของการให้สตางค์ได้ในระยะยาว ที่ผ่านมาก็ต้องกู้มาเพื่อใช้ฉุกเฉินกันอย่างมหาศาล อีกทั้งมันเป็นการนำเอาเงินส่วนรวมไปใช้จำเพาะแก่กลุ่มคนบางกลุ่ม โดยไม่ได้ให้ผลใดๆ ต่ออนาคตประเทศ ซึ่งถือเป็นการเลือกปฏิบัติ และไม่ทั่วถึงพูดอีกอย่างได้ว่า มันเป็นการเอาเปรียบผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศที่ร่วมกันเสียภาษี แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ ฉะนั้น การลงทุนใช้งบประมาณ เพื่อจ้างงานประชาชน น่าจะเป็นวิถีทางที่ดี และยั่งยืนกว่าวิธีการ “ผันเงิน”เพราะอย่างน้อย คนก็ได้ทำงาน และรัฐก็ได้ผลลัพธ์กลับมาในรูปภาษีต่างๆ เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ
งานอย่างหนึ่งที่รัฐบาลสามารถที่จะริเริ่มได้ทันที ก็คืองานที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะว่าจ้างแรงงานทั้งในภาคอุตสาหกรรม ภาคการบริการ และภาคการเกษตร ที่ขาดงานกันอยู่ในขณะนี้ เช่น งานโยธาอันเกี่ยวกับการขุดลอกแม่น้ำลำคลอง คู ท่อ การทำทำนบแม่น้ำลำคลอง ทางระบายน้ำ การเสริมสร้างความแข็งแรงของไหล่ถนน การซ่อมแซมทางรถไฟ และการเกลี่ยพื้นที่เส้นทางรถไฟใหม่ๆ ที่มีเป้าหมายให้ประเทศไทยมีทางรถไฟเชื่อมโยงกันทั่วประเทศทุกจังหวัด เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน โลกในศตวรรษที่ 21 จะต้องอยู่กับเทคโนโลยีสารสนเทศ และเทคโนโลยีชีวภาพเป็นสำคัญ ฉะนั้น ประเทศไทยจะต้องเตรียมบุคลากรเพื่องานนี้
ในทุกระดับ ทั้งช่าง วิศวกร สถาปนิก นักออกแบบนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งหมายถึงการปรับกระบวนยุทธ์การเรียนการสอน ทั้งในโรงเรียน โรงเรียนอาชีวะ และในมหาวิทยาลัย ไปจนถึงการค้นคว้าวิจัยการประดิษฐ์คิดค้นและการพัฒนา
นอกจากนั้น ประเทศไทยก็มีความโดดเด่นในเรื่องการเกษตร และอุตสาหกรรมอาหาร และการดูแลผู้คน ทั้งเพื่อการท่องเที่ยวและสุขภาพ ประเทศไทยก็อยู่ในวิสัยที่จะพัฒนาความเป็นเลิศได้ต่อไป โดยคำนึงถึงการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และการผลิตและการบริโภคที่ไม่เป็นภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้ในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องของการสร้างงาน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องของการเตรียมและสร้างคน ซึ่งรัฐบาลอยู่ในวิสัยที่จะคิด วางแผน และเริ่มดำเนินการได้
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ เรื่องพลังงานทดแทนและหมุนเวียน ซึ่งเรามีทั้งแสงอาทิตย์ และพืชเกษตรมากมาย ที่จะนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการนี้ได้ และจะได้ลดการพึ่งพาน้ำมัน แก๊ส และถ่านหิน ซึ่งทำลายสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต และยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศด้วยเงินจำนวนมหาศาล ฉะนั้น การเอาจริงเอาจังกับเรื่องพลังงานทดแทนและหมุนเวียน ก็จะต้องเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดทิศทางใหม่ของประเทศไทย
ทั้งหมดนี้บรรดาธุรกิจขนาดกลางและย่อม และจิ๋ว (นักธุรกิจอิสระ-Self-employ) ก็จะมีบทบาทอันสำคัญ แต่ทั้งหมดนี้คนไทยก็จะมีองค์ความรู้และทักษะใหม่ๆ ที่จะทำให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพและศักดิ์ศรี และสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ในโลกแห่งการแข่งขันได้อย่างทะนง
เลิกคิดและทำแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดเพียงแค่เฉพาะหน้าให้พ้นๆ ไปได้แล้ว ถึงเวลาที่รัฐ จะต้องเป็นผู้นำทางความคิดในการที่จะนำพาทุกฝ่ายมาร่วมคิด ร่วมมือกัน วางรากฐานประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวกันแบบยั่งยืน ประเทศไทยจะได้สามารถรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 และก้าวไปข้างหน้าได้อย่างสง่างามในโลกยุคหลังไวรัสโควิด-19
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

ปลุกพลัง ‘กรรมการชุมชนรุ่นใหม่’ Up Skill จัดตั้งกองทุนเสริมความเข้มแข็ง
แฉเหลี่ยมเขมร คนไทยเกือบหมื่นติดด่านโดนเขมรทยอยจับเข้าคุก
กองทัพซัดระบอบฮุนเซน ก่อปัญหาชายแดน ย้ำไทยยึดหลักสากล ปกป้องอธิปไตย
หยิ่น–วอร์ เปิดฉากคริสต์มาสแรกของ Central Park กับต้น ‘The Velvet Pine’
สพฉ. ผนึกภาคี จัด ‘CPR on the Beach’ สร้างอาสาฉุกเฉินชุมชน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี