ล่าสุด นายศรีสุวรรณ จรรยา ได้แสดงความเห็นตอบโต้นายปิยบุตร แสงกนกกุลอย่างเผ็ดร้อน
ในประเด็น มาตรา 112
ลองมาเปรียบเทียบนักเคลื่อนไหวสองคนนี้กันดู
1.ภาพลักษณ์
นายปิยบุตรมีภาพลักษณ์ดูดีกว่าแน่นอน ดูหล่อ ดูสมาร์ท ดูทันสมัย
ส่วนนายศรีสุวรรณดูลุย ดูเชยๆ หน่อย
ในแง่นี้ นายปิยบุตรน่าจะกินขาดเรื่องความเท่
2.การศึกษา
นายปิยบุตรจบกฎหมายธรรมศาสตร์ ก่อนไปต่อฝรั่งเศส เป็นนักเรียนนอก
ส่วนนายศรีสุวรรณเป็นเด็กบ้านนอก จบแม่โจ้ แล้วทำงานเอ็นจีโอ
นายศรีสุวรรณเคยเล่าว่า “...ผมเองเป็นคนต่างจังหวัด ...ผมเรียนมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพราะพ่อแม่ผมเป็นเกษตรกรทำไร่ทำนา ก็มีความคิดอยากจะเอาความรู้ทางเกษตรมาพัฒนาอาชีพของตระกูลของพ่อแม่ แต่เผอิญตอนเรียนผกผันได้กลายไปเป็นนายกองค์การนักศึกษา ผู้นำนักศึกษา และหัวรุนแรงพอสมควร นำนักศึกษาปิดถนนประท้วงขับไล่ผู้ว่าฯ 2 วัน 3 คืน เพราะเห็นความไม่ได้รับความเป็นธรรมของชาวบ้าน จากการละเลยปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ พอเรียนจบออกมาก็เลยเข้ามาทำงานประเภทนี้ เห็นความไม่ถูกไม่ควรไม่ถูกต้องเราต้องออกมาเคลื่อนไหว รณรงค์ในรูปแบบของ NGO มีความรู้สึกว่าไม่อยากไปรับราชการใดๆทั้งสิ้น อยากทำหน้าที่ตรงนี้ เพราะตัวเองมีความรู้สึกไม่อยากไปเป็นลูกน้องใครไม่อยากเป็นขี้ข้าใคร อยากทำงานในลักษณะส่วนตัวมีความอิสระ...”
3. การทำงาน
นายปิยบุตรเป็นอดีตอาจารย์สอนกฎหมาย เคยได้โอกาสเป็น สส. ประเด็นการทำงานมุ่งกระทบสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง สานต่อแนวทางกลุ่มนิติราษฎร์ เป็นแกนนำในการต่อสู้คดีต่างๆ ของพรรคอนาคตใหม่ แพ้คดีสำคัญๆ หลายเรื่อง
ส่วนนายศรีสุวรรณเป็นนักเคลื่อนไหวต่อสู้ทางสังคมในประเด็นต่างๆ หลายมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม กฎหมาย และตรวจสอบทางการเมือง ต่อสู้กับผู้ถืออำนาจรัฐ เคยยื่นเรื่องตรวจสอบร้องเรียน ยื่นฟ้องร้องหลายเรื่อง มีทั้งแพ้และชนะ ถ้าจำได้ เขาคือคนที่เป็นแกนในการยื่นฟ้องคดีบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท, คดีนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ฯลฯ
ในแง่นี้ ผลงานของนายศรีสุวรรณสามารถช่วยชาวบ้านได้เป็นรูปธรรม ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยมีผลลัพธ์จับต้องได้มากกว่า
4. จุดยืนเรื่อง มาตรา 112
นายปิยบุตร เสนอให้ยกเลิก 112 ล่าสุดโพสต์ข้อความระบุว่า
“ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีปัญหาในทุกมิติ ทั้งในแง่ของตัวบทกฎหมาย ในแง่ความไม่ได้สัดส่วนของอัตราโทษ ในแง่การนำมาใช้และตีความในแง่ของอุดมการณ์ที่กำกับอยู่เบื้องหลัง ดังที่ผมเคยแสดงความเห็นไว้ในหลายโอกาส
ปัจจุบัน สถานการณ์การนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาใช้ก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และมีทีท่าจะแรงต่อเนื่องไปอีก
ผมจึงมีความเห็นว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งเป็น “ผู้แทน” ของ “ราษฎร”ต้องผลักดันร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยเร็วที่สุด
ในการนี้ อาจใช้โอกาสยกเลิกความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นทั้งระบบไปในคราวเดียวกัน ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ประมุขรัฐต่างประเทศเอกอัครราชทูตศาล เจ้าพนักงานไปจนถึงบุคคลธรรมดา ให้ไปว่ากล่าวกันทางแพ่ง และควรแก้ไขกฎหมายหมิ่นประมาททางแพ่ง ให้มีเหตุยกเว้นความผิดในกรณีวิจารณ์โดยสุจริต เป็นประโยชน์สาธารณะ ด้วย
การยกเลิกความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น เป็นทิศทางที่สอดคล้องกับหลักสากล และนานาอารยประเทศ ในศตวรรษที่ 21 ไม่ควรมีใครถูกจำคุกเพียงเพราะการใช้เสรีภาพในการแสดงออก
เราปล่อยให้ “อนาคตของชาติ” โดนตั้งข้อหา ดำเนินคดีแบบนี้ต่อไปไม่ได้ พวกเขาเสียสละเสรีภาพ และอาจรวมถึงร่างกาย ชีวิตด้วย เพื่อการต่อสู้ เทียบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แล้ว สิ่งที่เสียไปน้อยกว่าพวกเขามาก ต้องไม่ลืมว่า เงินเดือนตำแหน่ง คะแนนเสียงจำนวนมาก ของ สส.หลายคน ก็มาจากพวกเขา ดังนั้น การแสดงความกล้าหาญ ต่อสู้เพื่อพวกเขา เพื่ออนาคตของชาติ เพื่อประเทศไทย ด้วยการผลักดันแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ต้องกระทำอย่างยิ่ง
กลางเดือนมีนาคม 2561 สมัยผมเริ่มก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ผมยอม “กลืนเลือด” ตัดสินใจขัดแย้งกับมโนธรรมสำนึกของผมอย่างสิ้นเชิงมาแล้ว ด้วยการประกาศว่า ไม่มีนโยบายแก้ 112 ทั้งนี้ ก็เพื่อขจัดอุปสรรคขัดขวาง ให้พรรคก่อตั้งได้ให้พรรคได้ไปต่อ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานได้ เพื่อฝ่าแรงเสียดทานจนไปสู่การลงเลือกตั้งได้ และด้วยหวังว่าเขาจะปรานีให้พรรคอนาคตใหม่ได้ต่อสู้ทางการเมือง
นั่นกลายเป็น “ตราบาป” ที่ฝังในจิตใจของผม และเป็น “แผลเป็น” ในชีวิตทางการเมืองของผม จนวันนี้ก็ยังคงก่อกวนอยู่ในความคิดจิตใจของผมเสมอ
มาถึงวันนี้ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เสียงสนับสนุนให้ยกเลิก 112 มีมากกว่าเดิมเยอะ ประชาชนจำนวนมากพร้อมสนับสนุน และ “อนาคตของชาติ” พร้อมเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ให้กับ สส.
ผมทราบดีว่า แม้ สส.จะร่วมกันเสนอร่าง พ.ร.บ. ยกเลิก 112 แล้ว ก็อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร อาจเจอกลยุทธ์เตะถ่วงไม่ใช่ “ญัตติด่วน” ต้องต่อแถวญัตติอื่นๆ จนสภาหมดอายุก็ยังไม่ได้พิจารณา แต่อย่างน้อย การเสนอร่างฯเข้าไปก่อน ก็เป็นการเปิดพื้นที่ให้กับการรณรงค์ กดดันต่อเนื่องต่อไป
“รัฐบุรุษ” กับ “นักการเมือง” ต่างกันตรงที่นักการเมืองคิดถึงการเลือกตั้งครั้งถัดไป แต่รัฐบุรุษคิดถึงอนาคตของชาติ คิดถึงคนรุ่นถัดไป
เมื่อท่านพูด คนจะฟัง เมื่อท่านลงมือทำ คนจะเชื่อ”
นายศรีสุวรรณ จรรยา ตอบโต้กลับทันที “หยุดเอาเด็กและเยาวชนของชาติ มาเป็นเครื่องมือในการทดลองทางอุดมการณ์ของตน” ระบุว่า
“กรณี คุณปิยบุตร เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คหัวข้อ “ยกเลิก 112” ระบุว่า สส. ควรผลักดันร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยเร็วที่สุด พร้อมเปิดเผยว่าอัดอั้นที่ตนเองยอมกลืนเลือดสมัยก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ด้วยการประกาศว่า ไม่มีนโยบายแก้มาตรา 112 เพื่อให้ทุกคนปรานีกับพรรคอนาคตใหม่ได้ต่อสู้ทางการเมือง นั่นกลายเป็นตราบาปและแผลเป็นที่ฝังในจิตใจจนวันนี้นั้น
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ได้เป็นปัญหาในทางกฎหมาย ไม่ว่าจะมองในด้านใดด้วยใจเป็นธรรม และด้วยใจที่เป็นปกติ ทั้งในแง่ของการนำมาใช้ และการตีความ รวมทั้งสัดส่วนของการกำหนดอัตราโทษ เนื่องจากความจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้สอดรับกับรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติไว้มาโดยตลอดทุกฉบับว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” ซึ่งจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าประเทศของเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสักการะที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน
หากแต่ในยุคปัจจุบัน กลับมีพวกนักเรียนนอก ร่วมมือกับนายทุนนอกคอก ที่มิได้ศึกษาและเรียนรู้ประวัติรากเหง้าของชาติของแผ่นดิน พยายามที่จะกระแดะลอกเลียนวัฒนธรรมตะวันตกบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เพื่อให้ประทศไทยเป็นดั่งสังคมแบบนั้น จึงพยายามใช้กลเล่ห์มาปลุกปั่นเด็กๆและเยาวชน โดยมีคณาจารย์ในสถาบันการศึกษาบางคนเป็นหางแถวและเครื่องมือ ในปลุกเร้าและถ่ายทอดทัศนะที่ผิดเพี้ยนให้มุ่งไปสู่แนวทางที่ตนเองต้องการ โดยไม่สนใจว่าบริบททางกฎหมายจะเป็นเช่นใดเราจึงเห็นพฤติกรรมและการกระทำของเด็กเยาวชนจำนวนมากที่ท้าทาย มาตรา 112ซึ่งก็จำเป็นอยู่เองที่ประชาชนจำนวนมาก เรียกร้องให้ผู้บังคับใช้กฎหมายจะต้องบังคับใช้มาตราดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ถึงแม้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็น “ผู้แทน” ของ “ราษฎร” บางคนอยากผลักดันร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกมาตรา 112 ให้จงได้แต่ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า สส. เหล่านั้นมีผู้ใดบ้าง ที่กล้าท้าทายแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเพราะอาจเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองได้ ทั้งนี้ประเทศไทยคือประเทศไทย ไม่ใช่ทาสรับใช้พวกตะวันตก การบัญญัติและการคงอยู่ของกฎหมายดังกล่าว ย่อมสอดรับกับค่านิยมวัฒนธรรม ประเพณีทางกฎหมายของไทย ซึ่งไม่ขัดหรือแย้งต่อการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติแต่อย่างใด หากการใช้สิทธินั้นไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น
เราไม่อาจปล่อยให้ “อนาคตของชาติ” ถูกล้างสมอง จนต้องโดนข้อหาจนต้องเข้าคุก เข้าตะราง โดยที่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังยังลอยนวลอยู่อีกต่อไปได้ สังคมไทยต้องช่วยกันลากไส้ เอาบุคคลเหล่านี้มาลงโทษตามครรลองของกฎหมายโดยเร็ว หากปล่อยให้ยืนผยองอยู่ในสังคม ก็รังแต่จะสร้างความแตกแยก สร้างปัญหาให้กับชาติ ให้กับแผ่นดินต่อไป โดยเอาเด็กและเยาวชนของชาติ มาเป็นเครื่องมือในการทดลองทางอุดมการณ์ของตน นั่นเอง”
ในเรื่องนี้ เชิญท่านผู้อ่านลองให้คะแนนกันดู
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี