นับตั้งแต่ที่เริ่มมีข่าวการพัฒนา “วัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19” หนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงทั่วโลกคือ “จะฉีดให้ใครก่อน?” ซึ่งความเห็นที่เป็นเอกฉันท์คือ คนกลุ่มแรกต้องเป็นบุคลากรด้านสาธารณสุข เช่น แพทย์ พยาบาล เพราะเป็นอาชีพที่ทำงานกับผู้ติดเชื้อจึงมีความเสี่ยงสูงมาก รองลงมาคือผู้มีอาชีพที่ต้องทำงานสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรสาธารณสุข เช่น ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่กู้ภัย หรือบางประเทศอาจนับรวมอาชีพที่ต้องให้บริการสาธารณะ เช่น พนักงานประจำรถโดยสาร พนักงานทำความสะอาด พนักงานขนส่งสินค้า ไว้ในกลุ่มที่ 2 นี้ด้วย
แต่เรื่องที่เป็นข้อถกเถียงคือ “ระหว่างคนหนุ่ม-สาวกับผู้สูงอายุ..ควรจะฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ใครก่อน?” เพราะในขณะที่ “ทิศทางของนานาชาติ กำหนดให้ผู้สูงอายุได้รับวัคซีนก่อนคนหนุ่ม-สาว เนื่องจากสถิติที่ผ่านมา การได้รับเชื้อโควิด-19 แล้วมีอาการหนักและส่วนหนึ่งมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตจะแปรผันตามอายุ” กล่าวคือ “ยิ่งอายุมากโอกาสเสียชีวิตก็ยิ่งสูงขึ้น” ตรงข้ามกับคนวัยหนุ่ม-สาว ที่แม้ได้รับเชื้อแต่ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยและหายป่วยได้เอง ผู้สูงอายุจึงควรได้รับการฉีดวัคซีนก่อนเพื่อลดความเสี่ยงการเสียชีวิตลง
อย่างไรก็ตาม สำหรับที่ อินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด และกำลังเผชิญสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) รัฐบาลตัดสินใจ “ให้คนหนุ่ม-สาว ตลอดจนประชากรวัยทำงาน อายุตั้งแต่ 18-59 ปี ได้รับวัคซีนก่อนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป” โดยจะเริ่มแจกจ่ายวัคซีนหลังจากที่ฉีดให้บุคลากรสาธารณสุขและคนทำงานบริการสาธารณะเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นการทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับกระแสโลกแต่รัฐบาลอินโดนีเซียมองว่ากลยุทธ์นี้จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
13 ม.ค. 2564 สำนักข่าวอัลจาซีราของกาตาร์ เสนอข่าว Young people first: Indonesia’s COVID vaccine strategy questioned อ้างความเห็น
ของ ฟิทรา ไฟซาล ฮัสเทียดี (Fithra Faisal Hastiadi) นักเศรษฐศาสตร์จาก University of Indonesia และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ของอินโดนีเซีย ที่ระบุว่า กลยุทธ์การฉีดวัคซีนที่อินโดนีเซียดำเนินการ จะช่วยให้ประชาชนหลายล้านคนได้กลับไปทำงาน เพราะเมื่อดูภาคส่วนที่มีคนว่างงานมากที่สุดคือการท่องเที่ยวและคมนาคมขนส่ง แต่ภาคส่วนเหล่านี้ส่งผลทวีคูณที่สุดในแง่ผลผลิตทางเศรษฐกิจ
ดังนั้นหากคนทำงานในอาชีพภาคส่วนเหล่านี้ได้รับการฉีดวัคซีนและกลับไปทำงาน เป้าหมายที่อินโดนีเซียจะฟื้นฟูเศรษฐกิจในปี 2564 ย่อมมีทางเป็นไปได้ เช่นเดียวกับความเห็นของ อาจิบ ฮัมดานี (Ajib Hamdani) ประธานแผนกการเงินและการธนาคาร สมาคมผู้ประกอบการรุ่นเยาว์แห่งอินโดนีเซีย ที่กล่าวว่า อินโดนีเซียมีสัดส่วนประชากรวัยทำงานมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วรวมถึง ปูตู (Putu) หญิงชาวอินโดนีเซีย วัย 56 ปี ชาวเมืองบาหลี ที่กล่าวว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยู่กับบ้านจึงมีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ต่ำกว่าประชากรวัยทำงาน
ถึงกระนั้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขกลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว อาทิ คิม มัลฮอลแลนด์ (Kim Mulholland) ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนวิทยา จาก London School of Hygiene and Tropical Medicine ซึ่งประจำมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ของออสเตรเลีย ระบุว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้เป็นที่ประจักษ์ว่าวัคซีนช่วยป้องกันไม่ให้ติดเชื้อและแพร่เชื้อ แต่มีผลเพียงช่วยให้ผู้รับวัคซีนไม่มีอาการป่วยกรณีได้รับเชื้อเท่านั้น คนหนุ่ม-สาวที่ได้รับวัคซีนจึงอาจกลายเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 แบบไม่มีอาการ แล้วนำเชื้อกลับไปแพร่ต่อให้ผู้สูงอายุที่บ้านได้
กลับมาที่ประเทศไทย..เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2564 เว็บไซต์นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ เผยแพร่บทความ “วัคซีนมาโควิดจะถอยแค่ไหน (ตอนที่ 1)” ซึ่งเขียนโดย ศ.นพ.วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ความตอนหนึ่งระบุว่า ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว เป็นกลุ่มที่จะได้รับอันตรายมาก ถ้าติดเชื้อ แต่ถ้าเราป้องกันการระบาดได้ผล ท่านมีโอกาสได้รับเชื้อน้อย ลดโอกาสในการรับเชื้อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม
อาจจะได้ผลดีกว่าปล่อยให้มีกลุ่มแพร่เชื้อ จนเชื้อระบาดถึงครัวเรือน
“คิดให้เหลวไหลไปกว่านั้นอีกดีไหม ในทางตรงกันข้ามครับ เรารู้ว่ากลุ่มคนที่แพร่เชื้อในประเทศไทยที่ผ่านมา ล้วนเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอบายมุข 6 ประการคือ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน เที่ยวดูการเล่น เล่นการพนัน คบเพื่อนชั่วเป็นมิตร และเกียจคร้านการงาน(ประการสุดท้ายนี่ยังนักไม่ออกว่าเกี่ยวกับโควิดยังไง)ถ้ารัฐบาลจัดการไม่ได้ ยังปล่อยให้เปิดผับเปิดบาร์ขายสุราอยู่ ก็แถมฉีดวัคซีนให้คนพวกนี้ไปเลยสิครับ เขาจะได้ลดการแพร่โรค เราจะได้ปลอดภัย ตามหลักระบาดวิทยาที่ไม่มีอคติแล้ว ต้องป้องกันในกลุ่มคนแพร่โรคเหล่านี้ก่อนคนที่อยู่ปลายน้ำนะครับ คนปลายน้ำก็จะได้ประโยชน์มากกว่า” ศ.นพ.วีระศักดิ์ กล่าวไว้ในบทความ
ซึ่งข้อเขียนข้างต้นดูจะสอดคล้องกับรายงานพิเศษ Fears ‘lockdown parties’ will increase global spread of coronavirus จากเว็บไซต์ นสพ.The Guardian ของอังกฤษ เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2563 เล่าเรื่องที่คนหนุ่ม-สาว หรือวัยทำงานหลายในประเทศทั่วโลก (รวมถึงไทย) ยังคงไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามร้านอาหารหรือสถานบันเทิง เมืองใดที่ทางการสั่งปิดสถานที่ดังกล่าวเพื่อควบคุมโรคก็ยังมีการลักลอบเปิด ไปจนถึงการแอบตั้งวงดื่มในหอพักมหาวิทยาลัยชี้ให้เห็นว่า คนวัยนี้ชอบกิจกรรมดื่มกินสังสรรค์รื่นเริง แม้จะมีสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ก็ตาม
อีกด้านหนึ่ง ศ.นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานประชุมวิชาการ (ออนไลน์) เรื่อง “เมื่อไหร่...คนไทยจะได้ใช้วัคซีน COVID-19” เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2564 โดยช่วงหนึ่งยกผลการศึกษาในต่างประเทศที่มีข้อสรุปว่า หากเป็นวัคซีนที่ให้ประสิทธิผล (Effectiveness) ไม่ดี (ร้อยละ 10-50) และมีจำนวนวัคซีนไม่มาก (Low Supply) ควรฉีดให้ผู้สูงอายุก่อน แต่หากเป็นวัคซีนคุณภาพสูงและมีจำนวนเหลือเฟือ ก็ควรฉีดให้เด็กและผู้ใหญ่ อันเป็นกลุ่มแพร่เชื้อ (Transmit) ก่อน
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” นำเรื่องนี้มาบอกเล่ากับท่านผู้อ่านระหว่างที่ประเทศไทยกำลังรอนำเข้าวัคซีน เพื่ออยากให้ได้ลองพิจารณากันดูว่า ระหว่างคนหนุ่ม-สาว กับผู้สูงอายุ ใครควรได้รับวัคซีนก่อน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี