ก่อนอื่นต้องสดุดีชื่นชมยกย่องวีรชนคนกล้าแห่ง กปปส. ที่เสียสละเวลาชีวิตเลือดเนื้อทรัพย์สินเงินทอง ต้องเสี่ยงเจ็บเสี่ยงตายกรำแดดตากฝนทนหนาวนอนกลางดินกินกลางทรายทรมานทั้งร่างกายและจิตใจมากว่า 204 วัน
จุดประสงค์อุดมการณ์คือชุมนุมต่อต้านขับไล่ทรราชโกงชาติ ปล้นชาติ โกงแผ่นดินให้พ้นจากผืนแผ่นดินไทย แต่ผลที่ได้ตอบแทนคือต้องติดคุกติดตะรางบาดเจ็บล้มตายดังที่ทราบกันแล้วจากข่าวทั่วไปว่า 39 กปปส. ที่ถูกฟ้องในข้อหากบฏในราชอาณาจักรล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข อั้งยี่ซ่องโจร ขัดขวางการเลือกตั้ง บุกรุกเคหสถานผู้อื่นในยามวิกาล ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ฉุกเฉินและอื่นๆ อีกหลายข้อหาถูกศาลตัดสินจำคุกกันระนาว
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. นำประชาชนนับล้านคนชุมนุมประท้วงรัฐบาลเผด็จการสภาทรราชที่โกงชาติปล้นแผ่นดินในโครงการรับจำนำข้าวทำให้ประเทศชาติเสียหายหลายแสนล้านบาท ออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยเพื่อช่วยให้พี่ชายนายทักษิณ ชินวัตร และสมุนบริวารที่ร่วมกันโกงชาติปล้นแผ่นดินถูกศาลตัดสินจำคุกในหลายคดี แล้วหลบไปอยู่ต่างประเทศ
นายสุเทพ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “กำนันสุเทพ” จำเลยที่ 1 ถูกศาลตัดสินจำคุก 5 ปี นายชุมพลจุลใส หรือ สส.ลูกหมี จำเลยที่ 3 หนักกว่าเพื่อนถูกศาลตัดสินจำคุก 9 ปี 24 เดือน
จำเลยที่ 4.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ จำคุก 7 ปี 5.นายอิสสระ สมชัย จำคุก 7 ปี 16 เดือน 6.นายวิทยาแก้วภราดัย จำคุก 1 ปี ปรับ 13,333 บาท รอลงอาญา2 ปี 7.นายถาวร เสนเนียม จำคุก 5 ปี 8.นายณัฏฐพลทีปสุวรรณ จำคุก 6 ปี 16 เดือน 9.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ จำคุก 1 ปี ปรับ 13,333 บาท โทษจำคุกรอลงอาญา 2 ปี และอื่นๆ อีก 17 จำเลย ถูกศาลตัดสินจำคุกลดหลั่นกันไปตั้ง 4 เดือนถึง 5 ปี ตามความหนักเบาของความผิด
เป็นที่น่าสังเกตว่าแกนนำทั้ง 9 คนแรกที่ถูกศาลตัดสินลงโทษสถานหนักล้วนแต่เป็น สส.และ อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ที่เคยร่วมกันเป็นแกนนำชุมนุมขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และขัดขวางการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยและผลักดันให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งจนเป็นที่มาของการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 เป็นเหตุให้หลายฝ่ายเกิดความสงสัยคลางแคลงใจว่านี่คือปฏิบัติการ “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าพระยา” หรือเปล่า
แต่ถ้าให้ความเป็นธรรมแก่ฝ่ายตุลาการก็มองอีกด้านหนึ่งว่าศาลพิจารณาไปตามพยานหลักฐานและความหนักเบาของพฤติกรรมจำเลย ในฐานะที่ผู้เขียนเป็น
คนหนึ่งที่มีส่วนร่วมไม่มากก็น้อยกับกปปส. และได้เข้าร่วมรับฟังคำพิพากษาโดยตลอด ในช่วงเวลาห้าชั่วโมงแรกของการอ่านคำพิพากษารู้สึกกว่าผลจะออกมาในทิศทางที่ดีเพราะผู้พิพากษาอ่านคำฟ้องที่ร้ายแรง เช่น กบฏในราชอาณาจักร ล้มล้างการปกครอง อั้งยี่ ซ่องโจร ฯลฯ และพิจารณาว่าการที่ประท้วงขับไล่ระบอบทรราชทักษิณเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ
แต่หลังจากชั่วโมงที่หก ศาลเริ่มอ่านถึงพฤติกรรมทำความผิดของปัจเจกชนหรือกลุ่มคนที่ร่วมชุมนุมซึ่งไม่ใช่ความผิดหรือความรับผิดชอบโดยรวมของ กปปส. และทั้ง 39 จำเลย อาทิ การบุกรุกเคหสถานของผู้อื่น การข่มขู่หรือฝืนใจผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง การขัดขวางการเลือกตั้งในส่วนนี้ศาลได้พิจารณาตัดสินไปตามพยานหลักฐานซึ่งผิดกฎหมายหลายมาตราและต่างกรรมต่างวาระเพราะการเลือกตั้งที่มีทั่วประเทศ หน่วยเลือกตั้งสถานที่รับสมัครเลือกตั้ง จำเลยทั้งหมดที่ถูกศาลตัดสินจำคุกเพราะละเมิดกฎหมายเหล่านี้
แต่ถามว่าจำเป็นที่ต้องบุกรุกเคหสถาน สถานที่ราชการเช่นกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์กรมที่ดิน เป็นต้น ในเมื่อรัฐบาลทรราชดื้อรั้นไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ แล้วยังประชุม ครม. เลือกตั้งนายกรักษาการโดยไม่มี กม. รองรับแล้วหลบซ่อนประชุมสุมหัวกันในสถานต่างๆ ประชาชน ผู้ประท้วงจำเป็นต้องไปกดดันหรือปิดกั้นสถานที่นั้นๆ และที่รัฐบาลประกาศยุบสภาเมื่อเข้าตาจนแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นในขณะที่ตัวเองได้เปรียบทุกด้านประชาชนนับล้านคนจำเป็นต้องขัดขวางและเมื่อศาลตัดสินว่ามีความผิด ทุกคนก็ยอมรับโดยดุษฎี
กำนันสุเทพน้อมรับคำพิพากษาอย่างสง่าผ่าเผยและยืนยันว่า “จะต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต่อไป”
นายอิสสระ สมชัย กล่าวกับผู้เขียนว่าภูมิใจที่ได้ต่อสู้กับทรราชทดแทนบุญคุณแผ่นดิน..และกล่าวติดตลกว่า
“ผมไม่ติดคุกหรอก ผม 76 แล้ว สู้ในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา อีกเป็นสิบปี ผมไม่อยู่ให้ติดหรอก...”
อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กล่าวกับผู้เขียนว่า
“ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปมีทรราชอีกคนสองคนก็ไม่มีใครกล้าออกมาไล่แล้ว..ส่วน นายสมศักดิ์ โกศัยสุขนักสู้ชาวแรงงานกล่าวว่า “ไม่เป็นไรน้องยังต้องว่ากันอีกในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา เราเป็นนักสู้ก็ต้องสู้จนนาทีสุดท้าย...”
เราเห็นพ้องกับนายสมศักดิ์ว่าสายเลือดของคนไทยไม่มีวันยอมแพ้ต่อทรราชถึงแม้ต้องติดคุก ต้องตายคน รุ่นใหม่คลื่นลูกใหม่ต้องลุกฮือขึ้นมาไล่ทรราชปล้นชาติปล้นแผ่นดินเหมือนในอดีต ที่คณะกอบกู้ชาติลุกฮือขึ้นมาขับไล่ทรราช 2475 ถึงแม้ต้องบาดเจ็บล้มตาย ต้องติดคุกติดตะรางในเกาะตะรุเตา ต้องหนีไปต่างประเทศเพราะถูกทรราชใช้กำลังปราบปรามจนถูกประณามว่าเป็นกบฏ
แม้แต่สมัยทรราช 2475 ตั้งศาลอาญาพิเศษขึ้นมาปราบปรามฝ่ายตรงข้าม ไม่ให้มีพยานไม่ให้มีทนาย ตัดสินประหารชีวิตไปถึง 18 คน หรือวิสามัญฆาตกรรม
อย่างเช่นการสังหารนักการเมืองอีสาน นายเตียง ศิริขันธ์ ก็เป็นคนไทยที่ไม่กลัว ไม่เคยก้มหัวให้ทรราช ปี 2500 ขณะที่ทรราชครองเมืองเมื่อมีการโกงเลือกตั้งมโหฬารประชาชน นศ.ก็หาญกล้าออกมาประท้วง
เมื่อเผด็จการครองเมืองต่อมาสิบห้าปีนักศึกษาประชาชนก็ลุกฮือขึ้นมาขับไล่ในปี 2516 ปี ตามมาด้วยเหตุการณ์นองเลือด 6 ต.ค. 2519 แม้ต้องตายต้องติดตะรางต้องหนีเข้าป่าแต่คนไทยหายอมไม่ ดังนั้นไม่ต้องหวั่นไหวว่าต่อไปจะไม่มีผู้กล้าออกมาไล่คนโกงเหตุการณ์นองเลือด 6 ต.ค. ยังไม่ทันจางหายเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ก็เกิดขึ้น และตามมาด้วยการชุมนุมขับไล่ทรราชของพันธมิตรในปี 2549-50
ทุกครั้งที่ประชาชนลุกขึ้นขับไล่ทรราชล้วนเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่มีคนมากกว่า ปี 2516 มากกว่า ปี 2500 ปี 2549-50 มากกว่าและยาวนานกว่าปี 2516 ปี 2556-57 คนมากกว่าและยาวนานกว่าเป็นประวัติศาสตร์ถึง 204 วัน และมีคนร่วมเป็นล้านดังนั้นต้องไม่หวั่นไหวว่าจะไม่มีใครกล้าออกมาเผด็จศึก
แต่ถ้าถามว่าไล่เผด็จการแล้วไม่ติดคุกมีไหม ให้สังเกตว่าในคดี กปปส. ศาลยกฟ้อง 12 จำเลยหนึ่งในนั้นจำเลยคนสำคัญเป็นสองรองจากกำนันสุเทพคือนายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย ศาลตัดสินยกฟ้องด้วยเหตุผลว่า “แม้จำเลยบางคนจะเป็นแกนนำในการชุมนุมด้วยก็ตาม แต่ความผิดที่จำเลยแต่ละคนกระทำนั้นน้อยกว่าจำเลยอื่นอีกทั้งไม่ปรากฏว่ามีพฤติการณ์อุกอาจหรือรุนแรงจากการชุมนุมประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยดังกล่าวเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนจึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยดังกล่าวกลับตัวเป็นพลเมืองดี”
นั่นคือวิธีขับไล่ทรราชปล้นชาติปล้นแผ่นดินที่ไม่ต้องโทษจำคุก เพราะนายสาทิตย์เกาะติดอยู่ในเวทีกลางไม่ได้ออกไปปิดล้อมขัดขวางการเลือกตั้ง เหมือนจำเลยอื่นๆ ที่ศาลยกฟ้อง อาทิ อาจารย์แก้วสรรอติโพธิ นายถวิล เปลี่ยนศรี อาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทองเป็นต้น คือปราศรัยอยู่แต่ในเวทีเป็นวิธีไล่ทรราชที่ไม่ติดคุก
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี