พม่าเองคงจะกลัวน้อยหน้าประเทศไทย ฝ่ายทหารพม่าก็เลยออกมายึดอำนาจอีกครั้ง ทั้งๆ ที่กฎหมายรัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) ของพม่า ที่ถูกเขียนด้วยฝ่ายทหารเอง ได้ให้อำนาจการเมืองกับฝ่ายทหารไว้มากมายอยู่แล้ว โดยฝ่ายทหารจะได้ตำแหน่งรองประธานาธิบดี รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีมหาดไทย และรัฐมนตรีกิจการชายแดน ซึ่งเท่ากับว่า กองทัพพม่าเองเป็นผู้นั่งค้ำคณะรัฐมนตรีอยู่อย่างหนาแน่นนอกจากนั้น ทางด้านนิติบัญญัติฝ่ายทหารก็ยังมีที่นั่งประจำไว้ให้ถึงร้อยละ 25 ในทุกสภา ไม่ว่าจะเป็นสภาสูงสภาล่าง หรือสภารัฐท้องถิ่น ก็เลยทำให้การยึดอำนาจหนนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ และเกินความคาดหมายของชาวโลกพอสมควร
นั่นก็คงเพราะอำนาจเพียงแค่นี้ ยังไม่เพียงพอไม่เต็มอิ่มถึงใจแม่ทัพนายกองพม่า ก็เลยตบเท้าทำการปฏิวัติรัฐประหารไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งก็มีข้ออ้างเพื่อหาความชอบธรรมในการปฏิวัติว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 เต็มไปด้วยความบกพร่อง ทำให้มีการทุจริต แล้วก็ดำเนินการจับตัว นางออง ซาน ซู จีผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ที่ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นไปคุมขังด้วยข้อหา (ที่ฟังไม่ขึ้น) ว่าเป็นผู้บ่อนทำลายความมั่นคงชาติ ก่อนจะนำตัวขึ้นสู่ศาล “เตี้ย”
นอกจากนั้นกองทัพพม่ายังประกาศว่า จะทำการปฏิรูปการเมืองและคืนประชาธิปไตยให้กับบ้านเมืองภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งก็ดูแล้วไม่มีความน่าเชื่อถือใดๆ คนฟังก็ต่างสงสัยว่า แล้วเช่นนั้นกองทัพจะยึดอำนาจเบ็ดเสร็จไปทำไม แถมยังช่วงที่ร่วมรัฐบาลอยู่กับ นางออง ซาน ซู จี เหตุใดจึงไม่ปรึกษาหารือกันให้เสร็จสิ้น ว่าอะไรที่เป็นปัญหา ในเมื่ออำนาจต่อรองของฝ่ายทหารก็เหนือขุมอยู่มากโขมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
การยึดอำนาจครั้งนี้ จึงไม่พ้นที่จะถูกมองว่าเป็นเรื่องความทะเยอทะยาน ความหิวโหยของฝ่ายทหารพม่ามากกว่า และการนี้ก็คงจะอยู่ในอำนาจไปเรื่อยๆ ยิ่งเห็นประเทศไทยยังทำได้ ทำไมพม่าจะทำบ้างไม่ได้ ซึ่งก่อนจะยึดอำนาจนั้น ผู้นำทหารเองก็คงรู้อยู่แล้วว่า จะมีปฏิกิริยาในเชิงลบจากมิตรสหายอาเซียน และประชาคมโลก แต่เมื่อบวก ลบ คูณ หาร แล้ว ก็คงชั่งใจไว้แล้วว่า สามารถรับมือได้ เพราะแรงบีบคั้นของประเทศอาเซียนก็คงไม่พ้นที่จะเป็นทางวาจาเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการคว่ำบาตรจากประเทศตะวันตกก็น่าจะรับได้ เนื่องจากเคยโดนมาแล้ว ซึ่งก็ทนอยู่แบบจนๆ โดดเดี่ยวมาก่อนหน้าได้ตั้งนาน ซึ่งก็พอไปได้ ในเมื่อบ้านเมืองพม่านั้นอุดมสมบูรณ์ คงไม่ถึงต้องอดกินอดตายเป็นแน่
ฝ่ายทหารพม่าคงคิดว่าปัญหาภายในก็สามารถ “เอาอยู่”อย่างแน่ๆ เนื่องจากเคยปราบประชาชนมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้วในอดีตที่ผ่านมา หากแต่คงลืมไปว่า สมัยนั้นไม่ได้มีเรื่องโซเชียลมีเดีย และการตื่นตัวทางการเมืองของคนพม่าแบบทุกวันนี้ อีกทั้งวิถีชีวิตชาวพม่าก็ขยับมาเป็นคนเมือง เป็นคนชั้นกลางมากยิ่งขึ้น ซึ่งต่างก็ได้เห็นโลกกันมากขึ้น
นั่นจึงทำให้ฝ่ายทหารได้พบกับ การออกมารวมตัวของชาวพม่าเพื่อแสดงความรู้สึกเบื่อหน่าย รำคาญ หวาดระแวง หวาดกลัว รังเกียจเดียดฉันท์ บนท้องถนนอย่างไม่เกรงกลัวคำห้ามปรามของทางกองทัพพม่า ผู้คนต่างออกมาต่อต้านการยึดอำนาจกันทุกมุมเมืองทั่วประเทศ และที่สำคัญใครจะคิดมาก่อนว่า ในวันนี้ ข้าราชการพม่าส่วนใหญ่ก็เอาด้วย แถมฝ่ายนักการเมืองที่ชนะเลือกตั้ง แต่ไม่มีสภาให้นั่ง ก็รวมตัวกันออกมาตั้ง “สภาเงาและคณะรัฐบาลเงา” และมีการตั้งคณะกรรมการประสานงาน เท่ากับว่าเป็นการเริ่มต้นของการท้าทายทางการเมืองกับอำนาจของรัฐบาลทหารอย่างโจ่งแจ้ง
อีกทั้งก็มีข่าวว่า เมื่อมีการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม กลุ่มต่างๆ ก็เริ่มตอบโต้ด้วยการติดอาวุธเป็นชุดป้องกันหมู่บ้าน กล่าวคือจะไม่ยอมตายฟรีด้วยฝีมือฝ่ายทหาร แล้วก็เรียกร้องให้นานาชาติทำการคว่ำบาตรรัฐบาลทหารว่า ไม่มีความชอบธรรม เป็นองค์กรผิดกฎหมาย
โลกจึงให้ความสนใจกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นก็ยังหวั่นใจว่าจะมีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นได้
ฝ่ายทหารพม่าคงต้องทบทวนเรื่องราวให้ดีว่า การปฏิวัติรัฐประหารครั้งนี้ ประชาชนชาวพม่านั้นจะไม่ยอมแพ้แบบในอดีตที่ผ่านๆ มา อีกทั้งประชาคมโลกก็ไม่เอาด้วยกับรัฐบาลทหาร และประชาคมอาเซียนก็เดือดเนื้อร้อนใจที่ทหารพม่ามาเพิ่มประเด็นปัญหาให้กับประชาคมอาเซียนอีกด้วย เพียงแค่สู้รบกับโรคระบาดโควิด-19 อาเซียนและโลกก็มีปัญหาเต็มไม้เต็มมือกันอยู่แล้ว ยิ่งกองทัพพม่ามาทำให้ประชาคมอาเซียนต่ำต้อยลง จนต้องหันมาโต้เถียงกันเพื่อหาทางออก ซึ่งถ้าสถานการณ์ภายในพม่าเลวร้ายขึ้นผลกระทบในเชิงลบก็จะออกมาในรูปแบบผู้อพยพที่ทยอยข้ามเขตแดนพม่าเข้าสู่ไทย ลาว และอื่นๆ เป็นแน่แท้
เรื่องของพม่าจึงเป็นปัญหาของอาเซียน และประชาคมโลกไปแล้วว่า จะยืนอยู่กับฝ่ายทหาร หรือฝ่ายประชาชน หากจะอยู่กับฝ่ายประชาชน ก็จะต้องเร่งสนับสนุนการต่อสู้ของประชาชนพม่า (เป็นหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อน) เพราะต่างอยู่ในวิสัยที่ชอบธรรม ที่ชาวอาเซียนและชาวโลกจะช่วยกันให้ชาวพม่าได้ประชาธิปไตยกลับคืนมาโดยเร็ว
ทั้งนี้ จุดห่วงกังวลทั้งภายในและภายนอกพม่า ก็คือฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่านั้นนำโดยสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยเป็นหลัก แต่ยังไม่มีการยื่นมือไปร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหวอื่นๆ เพื่อให้มีความเป็นเอกภาพ และเสียงเดียวกัน เพราะหากไม่มีการรวมทุกหมู่เหล่าแล้ว (Inclusive) โอกาสที่จะให้ฝ่ายทหารถอยทัพกลับเข้ากรม กอง ก็คงจะยากยิ่ง และการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยก็คงจะดูริบหรี่ ฉะนั้น ชาวโลกก็ต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกหมู่เหล่าที่ต่อต้านรัฐบาลทหารให้ร่วมมือเป็นพลังหนึ่งเดียวกันได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี