มีคำถามว่า เมื่อรัฐบาลไทยดำเนินนโยบายสาธารณะใดๆ แล้ว นโยบายนั้นส่งผลเสียอย่างร้ายแรง จนถึงขั้นวิบัติต่อประเทศชาติ และต่อประชาชน รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อการดำเนินนโยบายสาธารณะนั้นหรือไม่
มีคำถามต่อไปว่า การที่รัฐบาลไทยชุดใดก็ตามประกาศใช้นโยบายขายฝัน หรือนโยบายลวงโลก โดยนโยบายนั้นทำให้ประชาชนจำนวนมากหลงใหลได้ปลื้ม เพราะคิดว่าทำให้ตนเองได้เงินโดยง่ายดาย หรือไม่ประโยชน์สูงสุด ทั้งๆ ที่ไม่มีวันเป็นความจริงขึ้นมาได้เช่น นโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ด ในราคาเกวียนหรือตันละ 5 หมื่นบาท หรือนโยบายกำหนดค่าจ้างรายวันขั้นต่ำ วันละ 1,000 บาท หรือนโยบายทุกคนต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยรัฐบาลรับผิดชอบค่าเล่าเรียนทั้งหมด แถมยังรับรองว่าทุกคนต้องจบการศึกษาภายใน 2 ปี เป็นต้น
มีคำถามตอกย้ำว่า นโยบายโกหกหลอกลวงที่ออกโดยรัฐบาลใดก็ตาม เป็นสิ่งที่กระทำได้ ใช่หรือไม่ รัฐบาลมีสิทธิ์ มีอำนาจออกนโยบายลวงโลก ใช่หรือไม่
ประเด็นที่สาธารณชนกำลังถกเถียงแสดงความคิดเห็นในขณะนี้ (อันที่จริงมีการถกเถียงเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว) คือนโยบายที่ออกมาเพื่อดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ในสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โดยรัฐบาลชุดดังกล่าวกำหนดราคารับจำนำข้าวไว้ที่ตันหรือเกวียนละ 15,000 บาท ซึ่งราคารับจำนำที่รัฐบาลประกาศนั้นสูงกว่าราคาจริงในท้องตลาดถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หากพิจารณาตามหลักความเป็นจริงของกลไกการตลาดแล้ว ก็ต้องบอกตามตรงว่า เมื่อราคาสินค้าในตลาดมีราคาต่ำกว่าราคาที่ประกาศรับจำนำแล้ว มนุษย์หน้าไหนจะไม่นำสินค้านั้นไปจำนำ เพราะได้ราคาสูงกว่าการค้าขายกันตามปกติในตลาด
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนจะยังไม่พูดไกลไปถึงช่องทางการทุจริตโกงกินอันเกิดมาจากนโยบายลวงโลกนี้ แต่ก็ต้องถามคุณผู้อ่านกลับว่า หากคุณเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายข้าวเปลือก คุณจะขายสินค้าของคุณในตลาดไปตามปกติ หรือคุณจะวิ่งรี่รีบนำข้าวเปลือกที่คุณมีไปจำนำกับรัฐบาล อย่าลืมนะครับว่า ราคาขายข้าวเปลือกในตลาดจริงมีราคาไม่ถึงเกวียนหรือตันละ 15,000 บาท แล้วหากจะตั้งคำถามต่อไปก็คือ คุณคิดหรือเชื่อจริงๆ หรือว่า การกำหนดนโยบายลวงโลกเช่นนี้ไม่ใช่การจงใจเปิดช่องทางให้คนบางกลุ่มบางจำพวกที่เวียนวายแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ตลอดเวลาอยู่ในแวดวงของผู้มีอำนาจรัฐ ใช้เป็นช่องทางทุจริต หรือคุณมั่นใจจริงๆ ว่ารัฐบาลไทยทุกชุด และคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทยทุกชุดไม่มีเจตนาทุจริต ไม่เคยคิดใช้อำนาจรัฐแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองโดยมิชอบ
แน่นอนว่า การที่รัฐบาลใดก็ตามออกนโยบายสาธารณะเพื่อทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ถือเป็นเรื่องที่ดีงามและประเสริฐเลิศเลอ แต่ก็ต้องไม่ลืมความจริงว่าการออกนโยบายสาธารณะใดๆ นั้น ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ต้องเป็นสิ่งที่กระทำได้จริงภายในช่วงเวลาที่เหมาะสม และต้องไม่ใช้การจงใจออกนโยบายเพื่อโกหกหลอกลวงประชาชน
คนที่มีสติปัญญานั้น เมื่อเห็นรัฐบาลออกนโยบายโกหกหลอกลวงตบตาประชาชน เขาก็จะรู้โดยทันทีว่ารัฐบาลชุดนั้นมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ตั้งแต่ต้นแล้ว ยกเว้นคนจำพวกที่กล่าวไว้ในนิทานอีสปเรื่อง หมากับเงาในน้ำ (หมาคาบชิ้นเนื้อไว้ในปาก แล้วเดินข้ามสะพาน เห็นเงาตัวเองและชิ้นเนื้อที่คาบไว้ในปาก แล้วเห็นว่าชิ้นเนื้อที่ปรากฏเป็นเงาอยู่ในน้ำมีขนาดใหญ่กว่าชิ้นเนื้อจริงๆ ที่มันกำลังคาบไว้ในปาก มันจึงปล่อยชิ้นเนื้อในปากลงน้ำ เพราะหวังจะได้ชิ้นเนื้อที่ใหญ่กว่า แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้อะไรเลย) คนมีสติปัญญาต้องรู้ดีว่า ไม่มีวันที่รัฐบาลไทยจะสามารถมีอำนาจกำหนดราคาข้าวเปลือกได้เหนือราคาตลาดโลก เพราะไทยไม่ได้เป็นประเทศเดียวในโลกที่ผูกขาดการผลิตข้าวเปลือก เพราะนอกจากไทยแล้ว ยังมีอีกสารพัดประเทศจนนับไม่ถ้วนที่สามารถปลูกข้าวได้ แถมอีกหลายประเทศผลิตข้าวได้มากกว่าไทยด้วยซ้ำไป แต่เพียงเขาผลิตแล้วต้องใช้เพื่อการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากมีประชากรจำนวนมากมายมหาศาล จึงไม่สามารถส่งออกไปขายในตลาดโลกได้ ซึ่งผิดกับไทย ที่ผลิตได้น้อยกว่าหลายประเทศ แต่การบริโภคข้าวภายในประเทศยังต่ำกว่าการผลิตได้ จึงมีข้าวเหลือเพื่อส่งออกไปจำหน่ายในตลาดโลก
แล้วอีกประเด็นหนึ่งที่คนมีปัญญาต้องรู้โดยพลันว่า ข้าวเปลือกคือสินค้าเกษตรที่มีอายุการเก็บรักษาไม่ยืนยาวเหมือนทองคำ เพราะฉะนั้นเมื่อผลิตข้าวเปลือกได้แล้ว หากไม่รีบขายออกไปให้หมดภายในระยะเวลาที่ก่อนข้าวจะหมดสภาพ จนไม่สามารถนำไปใช้บริโภคได้อีก ก็เท่ากับเก็บขยะไว้ในโกดัง ซึ่งต้องเสียค่าจัดเก็บโดยเปล่าประโยชน์
อันที่จริง เมื่อพูดถึงกระบวนการรับจำนำข้าวของไทยโดยรัฐบาลแล้ว คนมีปัญญาก็ต้องรู้โดยพลันด้วยว่ารัฐบาลไทยไม่มีปัญญาทำโครงการนี้ได้เพียงลำพัง ขอขีดเส้นใต้หลายหลายเส้น และย้ำยืนยันว่ารัฐบาลไทยไม่มีปัญญาทำโครงการนี้ได้เพียงลำพัง เพราะในความจริงนั้นต้องมีตัวละครอีกหลายตัว เช่น surveyors ผู้รับหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าวเปลือกที่จะเข้าโครงการจำนำว่าได้มาตรฐานจริงหรือไม่ และต้องอาศัยเจ้าของโรงสีให้ช่วยรับซื้อในเบื้องต้น ต้องจ้างโกดังเก็บรักษาข้าว ซึ่งนี้ยังไม่นับรวมถึงขบวนการนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่าข้าวไทย เพื่อนำไปจำนำกับรัฐบาล เพราะได้ราคาสูงกว่าหลายสิบเปอร์เซ็นต์
ขอย้ำอีกทีว่า ผู้เขียนไม่คัดค้านนโยบายสาธารณะที่มีเป้าประสงค์ช่วยเหลือประชาชนให้อยู่ดีกินดีโดยแท้จริง แต่ขอยืนยันว่าคนที่มีสติปัญญาต่างรู้ดีโดยทั่วหน้า
กันว่า การที่รัฐบาลจงใจออกนโยบายโกหกลวงโลกเพื่อตบตาประชาชนที่รู้ไม่เท่าทันเป้าหมายการทุจริตของรัฐบาลนั้น คือการจงใจทุจริตเชิงนโยบายตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว
หากรัฐบาลตั้งใจช่วยชาวนาให้ได้รายได้มากขึ้นจริงๆ รัฐบาลไม่สมควรใช้นโยบายโกหกหลอกลวงเช่นนี้ เพราะไม่มีวันที่รัฐบาลไทยจะสามารถมีอำนาจควบคุมตลาดข้าวเปลือกและข้าวสารของโลกใบนี้ได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลสำคัญคือ ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่สามารถปลูกข้าวได้ใบโลกใบนี้ และคนทั่วโลกก็ไม่จำเป็นต้องกินข้าวไทยเท่านั้น หรือรัฐบาลไทยจะกล้ายืนยันว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ต้องกินข้าวไทยเท่านั้น
การที่รัฐบาลไทยบางชุดคิดจะผูกขาดการผลิตข้าว และผูกขาดการจำหน่ายข้าวไว้ในกำมือ ก็เป็นการคิดที่แสนจะโง่เขลามากเสียจนเกินจะบรรยายได้ แต่ก็แสนสมเพชที่นายกรัฐมนตรีในรัฐบาลไทยบางชุดเคยประกาศทำนองว่า ในเมื่อกลุ่ม OPEC (The Organization of the Petroleum Exporting Countries) ยังสามารถควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของโลกได้ แล้วทำไมไทยซึ่งผลิตข้าวได้มากมายมหาศาลจะไม่สามารถกำหนดราคาขายข้าวในตลาดโลกได้ ซึ่งก็ต้องบอกตรงๆ ว่านายกรัฐมนตรีไทยที่กล่าวในทำนองข้างต้นนั้น น่าจะไร้สติ สิ้นความคิด เพราะในสมองเต็มไปด้วยความโลภ และเต็มไปด้วยความหลง ขออภัยที่ต้องถามกลับไปยังอดีตนายกรัฐมนตรีรายดังกล่าวตรงๆ ว่า เคยเรียนเศรษฐศาสตร์มาบ้างหรือไม่ แล้วเคยรู้ไหมว่าสินค้าเกษตรกับน้ำมันดิบมันเป็นสินค้าคนละชนิดกัน หรือเคยแต่ผูกขาดการขายโทรศัพท์มือถือเสียจนเคยตัว จึงทำให้ความโลภบังตา พาให้สติมลายหายไปจนหมดสิ้น
อย่างไรก็ตาม บทความนี้จะไม่ก้าวล่วงไปถึงคำพิพากษาใดๆ ของศาลที่มีต่อคดีจำนำข้าว และไม่ให้ความสำคัญใดๆ กับรัฐบาลที่จงใจโกหกหลอกลวงประชาชนด้วยนโยบายลวงโลก แต่มีคำถามเพียงแค่ว่า การที่รัฐบาลใดก็ตามจงใจออกนโยบายสาธารณะจำพวกลวงโลก จะมีอำนาจใดลงโทษ หรือเอาผิดกับรัฐบาลสามานย์จำพวกนั้นได้หรือไม่ หรือจะเชื่อแบบไร้สติสิ้นปัญญาว่า ในเมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปแล้ว นโยบายนั้นต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามเสมอไปหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ อีกหน่อยรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งคงแถลงนโยบายว่า ต่อไปคนไทยทุกคนจะต้องมีอายุ 120 ปี และมีเงินเก็บเงินออมทุกคน คนละไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท กระมัง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี