คนจำนวนไม่น้อยกลายเป็นผู้ป่วยโรคประสาท เกิดความวิตกกังวล หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน บางรายเกิดอาการประสาทหลอนเนื่องจากเสพเรื่องราวเกี่ยวกับโควิด-19 มากจนเกินความพอดีแต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ จำพวกที่เสพเรื่องเท็จ เรื่องปลอมเรื่องไม่จริงสารพัดชนิดเกี่ยวกับโควิด-19 แถมบางคนคิดว่าน่าจะได้รับข่าวหรือเรื่องจริงเกี่ยวกับโควิด-19 เพราะอุตส่าห์เลือกฟังจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณหมอ แถมเป็นหมอจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่สุดท้ายยิ่งประสาทเสียหนักไปกว่าเดิม เพราะหมอรายที่ว่านั้นก็เอาแต่ให้ข่าวร้ายทุกวี่ทุกวันประมาณว่า โควิด-19 จะทำลายประเทศไทยให้ย่อยยับแหลกลาญกลายเป็นผุยผงในอนาคตอันใกล้ เพราะทุกครั้งที่หมอรายหนึ่งที่หลายคนคงนึกหน้าออกโดยพลันออกมาให้ข่าวเกี่ยวกับโควิด-19 ก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว ความหดหู่ ความสิ้นหวัง และความบรรลัย
สังคมไทยเลยกลายเป็นสังคมที่มีคนสองจำพวกอยู่ด้วยกันคือจำพวกแรก ไม่เกรงไม่กลัวโควิด-19 เอาเสียเลย ยังคงทำตัวชิล สบาย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่สวมหน้ากากอนามัย แถมยังตั้งหน้าตั้งตาเข้าไปในบ่อนในซ่องได้อย่างหน้าตาเฉย แล้วก็นำเอาเชื้อโควิด-19 ออกไปแพร่กระจายเต็มเมือง (ส่วนรัฐมนตรีหน้าทนคนนั้นก็ยังคงไม่แสดงความรับผิดชอบที่เป็นตัวการแพร่กระจายโควิด-19 ด้านนายกรัฐมนตรีผู้เคยมีปากกล้า ก็ถึงกับหุบปากนิ่งไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เพราะกลัวอิทธิพลจากพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งจะเขย่าให้ตกจากเก้าอี้นายกฯ)
ในขณะเดียวกัน สังคมไทยก็ยังมีอีกพวกหนึ่งที่วิตกกังวลฟุ้งซ่านกับเรื่องโควิด-19 จนกลายเป็นโรคประสาทไปแล้ว จะทำอะไรแต่ละอย่างก็กลัวติดโควิด-19 ไปเสียทั้งหมด จะกินจะซื้ออะไรก็หวาดวิตก จะไปไหนมาไหนก็ละล้าละลังชักเข้าชักออกจนเสียงานเสียการ จะหยิบจะจับอะไรสักอย่างก็พ่นสเปรย์แอลกอฮอล์ และเจลแอลกอฮอล์ใส่วัตถุสิ่งนั้นจนแอลกอฮอล์จะท่วมทับของชิ้นนั้นจนจม
แต่ที่น่าสังเวชใจมากที่สุดคือ ในสังคมไทยยังมีคนอีกจำพวกหนึ่งที่ไม่มีความรู้จริงจังในเรื่องของโควิด-19 แต่กลับชอบส่งเรื่องราวสารพัดชนิดผ่าน social media ไปยังคนอื่นๆ ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่คนส่งก็ไม่เคยมีสติปัญญากลั่นกรองได้ว่าสิ่งที่ส่งไปนั้นจริงหรือเท็จ (แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเท็จ ซึ่งคนจำพวกนี้มีนิ้วโตกว่าสมอง ส่วนสมองนั้นลีบเล็กกว่าเมล็ดงาด้วยซ้ำไป)
ในเมื่อเราทุกคนต่างรู้ดีว่า โควิด-19 จะต้องอยู่กับสังคมไทยไปอีกนาน อย่างน้อยก็ 1-2 ปี เพราะฉะนั้น เราจึงต้องสร้างทั้งภูมิคุ้มกันโรค และต้องสร้างเกราะกำบังทางความคิดให้กับตัวของเราเอง เพื่อให้เรารอดพ้นจากเชื้อโควิด-19 และรอดพ้นจากการตกเป็นเหยื่อของข่าวเท็จ ข่าวลวงทั้งหลายที่กระจายกลาดเกลื่อนอยู่ในโลก social media
วันนี้ผู้เขียนขอตอกย้ำข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงทางวิชาการของเชื้อโควิด-19 เพื่อเตือนสติคุณๆ อีกสักครั้ง เพื่อให้คุณทราบว่า โรคโควิด-19 คือโรคติดต่อที่มาจากการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาซาร์โควี-2 (SAR-CoV-2) โดยแพร่เชื้อจากคนสู่คน จากการรับเชื้อในละอองฝอย (droplets) จากการไอหรือจาม และสัมผัสสารคัดหลั่งต่างๆ (contact) เช่น น้ำลาย น้ำมูก เสมหะ เป็นต้นโดยเบื้องต้นนั้น ส่วนใหญ่ผู้ได้รับเชื้อจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่บางรายอาจมีอาการเล็กน้อย เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รู้สึกเหมือนมีไข้ มีอาการเจ็บคอ แต่บางรายอาจมีอาการรุนแรง เช่น ติดเชื้อในปอดอย่างรุนแรง หรือมีอาการแทรกซ้อนขั้นรุนแรงจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต โดยเฉพาะผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัวเช่น เบาหวาน โรคหัวใจ จะมีอัตราการเกิดอาการรุนแรงสูงกว่าผู้อายุน้อย และมีสุขภาพแข็งแรง ครั้นเมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะมีระยะเวลาฟักตัว ช่วงตั้งแต่รับเชื้อจนถึงช่วงแสดงอาการ ประมาณ 2-14 วัน ด้วยเหตุนี้จึงกำหนดมาตรการกักตัวผู้มีความเสี่ยงสูง หลังสัมผัสกับผู้ติดเชื้อเป็นเวลา 14 วัน
ตามปกติของร่างกายมนุษย์ เมื่อมีเชื้อโรคทุกชนิดเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะมีกระบวนการเพื่อจัดการกับเชื้อโรคในหลายแบบโดยหนึ่งในนั้นคือเม็ดเลือดขาวชนิด macrophage จะกลืนเชื้อเข้าไป และทิ้งเศษซากเชื้อบางส่วนไว้ ซึ่งเรียกว่า แอนติเจน (antigen)ร่างกายจะรับรู้ว่าแอนติเจนคือสิ่งแปลกปลอม และจะสร้างแอนติบอดี(antibody) เพื่อจัดการสิ่งแปลกปลอมนั้น รวมถึงมีเม็ดเลือดขาวอีกชนิดหนึ่งที่จดจำว่าเชื้อโรคนี้คือสิ่งแปลกปลอม ถ้าหากได้รับเชื้อในอนาคตอีก ร่างกายจะสามารถจดจำ และจัดการได้ทันที ซึ่งตรงนี้หมายถึงการทำงานของวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพราะวัคซีนจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสตัวนี้ขึ้นมา ช่วยป้องกันการติดเชื้อ หากได้รับเชื้ออีกในอนาคต แต่จะต้องใช้เวลาระยะช่วงหนึ่งหลังจากฉีดวัคซีนแล้ว ร่างกายจึงจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นอย่างไรก็ตาม แม้จะฉีดวัคซีนแล้ว แต่ผู้รับวัคซีนก็ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เช่น ใส่หน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐาน ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ที่ได้มาตรฐานทุกครั้งหลังจับสัมผัสสิ่งของต่างๆ โดยเฉพาะสิ่งของสาธารณะ รวมถึงต้องเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างน้อย 1 เมตร เป็นต้น
ขอย้ำว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างเด็ดขาด แต่เพียงช่วยลดความรุนแรงของการเกิดโรคได้ ที่สำคัญคือยังไม่มีข้อมูลว่าเมื่อฉีดวัคซีนแล้วจะมีภูมิคุ้มกันโควิด-19 ได้นานกี่เดือน
วัคซีนป้องกันโควิด-19 มีกี่ชนิด อ้างอิงจากองค์การอนามัยโลกพบว่ามีหลายชนิดซึ่งผลิตโดยหลายบริษัทซึ่งมีกรรมวิธีที่ต่างกันไป แต่สิ่งสำคัญคือสามารถต่อต้านไวรัสโคโรนาซาร์โควี-2 (SAR-CoV-2) ไม่ให้เข้าสู่ร่างกายแล้วเข้าไปเป็นต้นเหตุของโรคได้ส่วนวิธีการผลิตวัคซีนนี้มีทั้งหมด 4 วิธี คือ messenger RNA (mRNA) vaccine, Viral Vector, Inactivated Virus Vaccineและ Protein Subunit Vaccine (ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดในเรื่องนี้ หากสนใจเรื่องนี้โปรดอ่านได้จากข้อมูลของ WHO)
สิ่งสำคัญที่อยากบอกคือ ใครควรได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 คำตอบคือบุคคลที่อยู่ในเกณฑ์ทุกคนควรได้รับวัคซีนนี้แต่ปัญหาคือไม่สามารถฉีดให้กับทุกคนได้ เพราะวัคซีนมีจำนวนจำกัดดังนั้นจึงฉีดวัคซีนให้กับ บุคลากรทางการแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรกตามมาด้วยคนในกลุ่มเสี่ยง เช่น ในพื้นที่มีการระบาดของโควิด-19อย่างหนัก ตามมาด้วยผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป (แต่ต้องดูว่าฉีดวัคซีนของผู้ผลิตรายใดได้) และกลุ่มคนที่มีหน้าที่ควบคุมโรคนี้ เช่น อสม. อสต. ทหาร ตำรวจที่ทำหน้าที่คัดกรองผู้ที่เข้ามาจากต่างประเทศ และผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีการระบาด
มากๆ อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังว่า หญิงมีครรภ์ และหญิงที่ต้องให้นมบุตร และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ยังไม่ควรฉีดวัคซีนนี้ แต่ก็ต้องขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ด้วย
ประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 กี่ชนิด อ้างอิงจากข้อมูลเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2564 ไทยมีวัคซีนสองชนิด คือ ของ Sinovac และของ AstraZenaca โดยของ AstraZenaca เป็นวัคซีนแบบ viral vector ฉีดให้กับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปโดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งละ 0.5 มิลลิลิตร (แนะนำให้ฉีดบริเวณต้นแขน) ฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 ฉีดห่างจากครั้งแรก 4-12สัปดาห์ ส่วนวัคซีนของ Sinovac เป็นวัคซีนแบบเชื้อตาย (inactivated vaccine) ฉีดให้ผู้มีอายุ 18-59 ปี โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งละ 0.5 มิลลิลิตร (แนะนำให้ฉีดบริเวณต้นแขน) โดยฉีดทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 ฉีดห่างจากครั้งแรก 2-4 สัปดาห์ (ผู้ที่อยู่บริเวณความเสี่ยงสูงหรือระบาดรุนแรง แนะนำให้ฉีดครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรก 2 สัปดาห์) ข้อสำคัญคือ เมื่อฉีดวัคซีนทั้ง 2 ชนิดในครั้งแรกแล้ว ต้องไปรับวัคซีนครั้งที่ 2 ให้ครบตามกำหนดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรค แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนครั้งที่ 1 และ 2 คนละชนิดกันว่าจะให้ผลเป็นอย่างไร ดังนั้น จึงไม่แนะนำให้สลับการฉีดวัคซีนคนละยี่ห้อ และยังไม่มีข้อมูลว่าควรฉีดกระตุ้นภูมิเมื่อใดหลังจากฉีดวัคซีนครบ 2 ครั้งแล้ว
ผู้รับวัคซีนอาจมีอาการข้างเคียงจากการฉีดหรือไม่มีก็ได้หากมีอาการข้างเคียง ก็ได้แก่ ปวด บวม แดง คัน หรือช้ำบริเวณที่ฉีด รู้สึกอ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบายตัว ปวดศีรษะเล็กน้อย อาการคล้ายมีไข้ คลื่นไส้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และข้อ ส่วนอาการที่พบได้ไม่บ่อย หรือพบได้น้อย เช่น มีไข้ มีก้อนแข็งที่บริเวณที่ฉีดยา เวียนศีรษะ มึนงง ใจสั่น ปวดท้อง อาเจียน ความอยากอาหารลดลง เหงื่อออกมากผิดปกติ ต่อมน้ำเหลืองโต อาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ เป็นต้น
ส่วนข้อห้ามในการฉีดวัคซีน คือผู้มีประวัติแพ้ยาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการแพ้ต่อส่วนประกอบของวัคซีน หรือผู้ที่ฉีดเข็มแรกแล้วมีอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น หายใจติดขัด (shortness of breath) มีอาการบวมที่หน้า ลิ้น หรือในทางเดินหายใจ เป็นต้น
สิ่งที่ต้องแจ้งบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน คือ ผู้มีประวัติการแพ้ยา วัคซีน อาหาร สารก่อภูมิแพ้ต่างๆ อย่างรุนแรงหรือจนเป็นอันตรายต่อชีวิต ผู้มีไข้เกิน 38 องศาเซลเซียสในวันนัดฉีดวัคซีน ผู้มีประวัติเกิดรอยช้ำ หรือจ้ำเลือด หรือเลือดออกผิดปกติ หรือใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดอยู่ เช่นวาร์ฟาริน ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือใช้ยากดภูมิคุ้มกันอยู่ เช่น สเตียรอยด์ขนาดสูง ยารักษาโรคมะเร็ง หรือยากดภูมิคุ้มกัน ผู้มีอาการข้างเคียงทุกชนิดจากการฉีดวัคซีนชนิดนี้ในเข็มแรก และผู้ตั้งครรภ์ หรือมีแผนจะตั้งครรภ์ หรือต้องให้นมบุตร
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วก็ต้องทำควบคู่กับการใส่หน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐาน เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1 เมตร ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสสิ่งของต่างๆ ที่ไม่มั่นใจว่าสะอาดและปราศจากเชื้อโรค หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด และงดบริโภคข่าวลือทุกชนิดเกี่ยวกับโควิด-19 และไม่เป็นผู้ส่งต่อข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโควิด-19 และที่สำคัญที่สุดคือต้องดำรงชีวิตอย่างมีสติตลอดเวลา ไม่ตื่นตูม ไม่ขาดสติไม่วิตกกังวลจนเกินเหตุ (ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากโรงพยาบาลกรุงเทพ)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี