เราได้ยินบ่อยๆ การหยิบเอาข่าวดีในต่างประเทศขึ้นมา เพื่อทับถม เหยียบย่ำ ดิสเครดิตการทำงานแก้ปัญหาโควิด-19 ในบ้านเรา
บ่อยครั้ง เปรียบเทียบบนพื้นฐานของอคติ อยู่บนคนละฐานข้อเท็จจริง คนละบริบท
1. ที่เห็นบ่อยสุด คือ การหยิบยกระบบรัฐสวัสดิการในตะวันตก ขึ้นมาเปรียบเทียบกับบ้านเรา แล้วประชดประชันทำนองว่าเสียภาษีมากมาย เสีย VAT มากมาย ทำไมไม่ได้เหมือนในยุโรป
ในความเป็นจริง ฐานภาษีของประเทศเหล่านั้น ใหญ่โตกว่าประเทศไทยมหาศาล ทั้งจำนวนคนจ่ายภาษีเงินได้ สัดส่วนคนจ่ายภาษีเงินได้ อัตราภาษีเงินได้ หรือแม้แต่อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศเหล่านั้น ก็ล้วนสูงกว่าประเทศไทยอย่างลิบลับ
เรื่องนี้ เคยกล่าวละเอียดไปแล้ว สนใจสามารถอ่านย้อนหลังในคอลัมน์นี้
2.ล่าสุด พอมีข่าวประเทศอิสราเอลฉีดวัคซีนได้เกินครึ่งจำนวนประชากร เริ่มผ่อนคลายให้ประชาชนถอดหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะได้ ก็มีคนนำมาเสียดสี ทับถมประเทศไทยทันทีว่า นี่ไง เพราะฉีดวัคซีนได้ช้า แก้ปัญหาได้แย่
ประเด็นนี้ในเพจ Sound of Thailand ระบุว่า เรามาวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จกันก่อนนะ
“1.นี่คือประเทศที่เคยระบาดหนักโคตรพ่อโคตรแม่ ยอดรวมติดเชื้อ 8.34 แสนคน เสียชีวิต 6 พันคน ตอนระบาดหนักๆ นี่พี่ไทยไม่พูดถึงครับ 555
2.นี่คือประเทศที่มี พื้นที่แค่ 6 พันตารางไมล์ ใหญ่กว่าโคราชหน่อยนึง ขณะที่ไทยกว้างใหญ่ถึง 1.8 แสนตารางไมล์ หรือใหญ่กว่าเขา 30 เท่า แต่พี่ไทยก็ไม่พูดถึงอีก
3.อิสราเอล มีประชากร 9 ล้านคน เหมาะสมแก่การรับวัคซีน 6 ล้านคน ไทยมีประชากร 70 ล้าน เหมาะสมกับการรับวัคซีน 35 - 40 ล้านคน สรุปคือ ไทยมีประชากรมากกว่าเขาประมาณ 7 เท่า นี่พี่ไทยก็ลืมพูด
4.อิสราเอล ซื้อวัคซีนแพงกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาประมาณ 35% นี่ไทยก็ไม่เคยพูดถึง
เวลาจะชังไทย อวยต่างชาติ ก็พูดข้อมูลให้ครบๆ ด้วย...”
3.เพจ Thailand FACT Today เล่าข้อมูลและมุมมองเพิ่มเติมว่า
“เบื้องหลังความสำเร็จ
โพสต์นี้เกิดจากการที่ชอบมีการเปรียบเทียบไทย กับอิสราเอล
แอดฯ ลองไปหาข้อมูลเทียบมา ต้องบอกว่าอิสราเอล ได้เปรียบไทย และนานาชาติแบบเทียบไม่ได้
อิสราเอล เป็นประเทศขนาดเล็ก มี พท. 8 พัน ตารางไมล์ ขณะที่ไทยกว้างใหญ่ที่ 1.98 แสนตารางไมล์
ลักษณะการกระจายของประชากรต่ำอีกต่างหาก และระบบระเบียนประชากรของอิสราเอล ก็ครอบคลุม รัดกุม เพราะมีจุดประสงค์เรื่องความมั่นคงด้วย ส่งผลให้การกระจายวัคซีนทำได้ง่าย
ยิ่งกว่านั้น ยังมีประชากรเพียง 9 ล้านคน บุคคลที่มีคุณสมบัติรับวัคซีนเพียง 6 ล้านคน ฉีด 12 ล้านโดส ก็ปิดจ๊อบแล้ว ขณะที่ไทยปาไป 70 ล้านคน
อิสราเอลมีคนวัยทำงาน ถึงกว่า 80% ของประชากรทั้งหมด
อิสราเอลฉีดครบ 2 เข็มไปแล้ว 54% ของทรัพยากร ฉีดไปทั้งหมด 10.3 ล้านโดส จากจำนวนการสั่งซื้อทั้งหมดประมาณ 20 ล้านโดส
การสั่งจอง อิสราเอล เริ่มจองซื้อวัคซีนลอตใหญ่จากไฟเซอร์และโมเดอร์นาตั้งแต่เดือนตุลา 63 ในราคา 30-35 usd/dose สูงกว่าราคาที่นานาชาติจองซื้อ 60-100%
การคลายล็อก อิสราเอลเริ่มคลายล็อกหลังจากประชาชน 35% ได้วัคซีนครบ 2 เข็ม
การที่อิสราเอล มีผู้สูงวัย อายุมากกว่า 65 ปี คิดเป็น 12% ของประเทศทำให้มีความคล่องตัวในการจัดการสูงมาก เพราะประชาชนมีความกระตือรือร้นสูง แถมยังเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีด้วย
ลักษณะชายแดน อิสราเอล เป็นประเทศที่ควบคุมพื้นที่ชายแดนได้ดีมาก จากประวัติศาสตร์การเมือง ที่ดุเดือด ตลอดครึ่งศตวรรษ
อย่าว่าแต่ไทยที่อิจฉาอิสราเอลเลย เท่าที่อ่านมา ทั้งโลก มองอิสราเอล แล้วย้อนเทียบกับประเทศตัวเองหมด แต่ก็ได้แต่มอง เพราะปัจจัยบวก สู้ไม่ไหวจริงๆ”
4.ส่วนประเด็นเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนในไทยที่ถูกโจมตีว่าล่าช้านั้น เป็นเพราะไปเอื้อประโยชน์ใครหรือไม่? เพราะทำงานไร้ประสิทธิภาพกันจริงหรือ? จะฉีดกันถึงเมื่อไหร่มีแผนการอย่างไร? ฯลฯ
เพจ Thailand FACT Today ให้คำอธิบายที่ชัดเจน มีเหตุมีผล ระบุว่า
“ข้อ 1 ทำไมฉีดช้า ประเทศไทยไม่ได้เร่งฉีดมาตั้งแต่ต้นแล้วครับ เพราะสถานการณ์ของไทย ในช่วงที่ทั่วโลกเริ่มหา V นั้น “ดีมาก”
ย้อนกลับไปปลายปี 63 ไทยอยู่ในจุดที่คุมโรคได้ยอดเยี่ยมแบบสุดๆ ขณะนั้น ผลการทดลอง V Phase3 ยังไม่ออกด้วยซ้ำ
ไทยประเมิน ขอเลือก V ที่ปลอดภัย และให้ประโยชน์ สูงสุด จึงเลือก Astraฯ พร้อมดีลว่าจะให้ไทยเป็นผู้ผลิต ดีกว่าเสี่ยงกับ V แบรนด์อื่น ซึ่งแพงมาก และไม่รับประกันด้วยว่าจะผลิตได้หรือไม่ แตกต่างจากแอสตราฯ ซึ่งใช้สูตรของ Oxford ที่มีConnection ที่ดีกับไทย และไทยเชื่อมั่นว่าจะทำสำเร็จ จึงเลือกเทใจไปที่แบรนด์นี้ในที่สุด
แล้วทำไม ชาติอื่นได้เยอะ แอดฯ จะยกตัวอย่างอิสราเอล ที่นั่นซื้อ V แพงกว่าหลายชาติ และทุ่มเงินไปตั้งแต่ยังอยู่ในช่วงทดลองด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับมหาอำนาจทั่วโลก ก็ใช้วิธีนี้ ขณะที่ชาติในอาเซียน หลายชาติเร่งเกมเพราะในช่วงที่เราคุมได้ดีเขาระบาดหนัก ยอมเสี่ยงเสียตังค์ฟรี ยอมใช้วัคซีนที่ยังไม่เสถียร บางชาติ ยอมให้เป็นพื้นที่ทดลองด้วยซ้ำ และบางชาติ ยังขอรับวัคซีน เพื่อแลกกับการเสียผลประโยชน์บางอย่าง ซึ่งไทยไม่ขอเดินตามเส้นทางนี้
ถ้าย้อนกลับไปดู ประเทศที่คุมการระบาดเยี่ยมๆ เมื่อกลาง-ปลายปีที่แล้ว ก็ล้วนล้าหลังเรื่องการฉีด V ทั้งนั้น อาทิ ไต้หวัน ก็ฉีดไปหลัก 2 หมื่นโดสเท่านั้นเอง เพราะก็คิดมาก ขอรอดู แบบไทยนี่เอง
กลับมาที่ประเทศไทย ความซวยคือการเจอเคสที่สมุทรสาคร ตามมาด้วยคลัสเตอร์สถานบันเทิง มันทำให้แผนที่วางไว้รวนไปหมด
แต่ลองนึกย้อนดูนะครับ ถ้าตุลา 63 เราทุ่มเงิน ไปจอง V ที่ยังไม่เสถียรไม่ผ่านการใช้งานจริงๆ เหมือนที่หลายๆ ชาติที่ระบาดหนัก ทำกัน
จะเกิดอะไรขึ้น???? แอดฯ เชื่อว่า คนก็จะด่าอยู่ดี ว่าซื้อมาทำไม เปลือง บราๆเดี๋ยวก็หมดอายุ ไม่ทันใช้
ขนาดตอนนั้น เราสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ ที่รักษาง่ายกว่า อายุยานานกว่า ก็ยังมีเสียงคนก่นด่าเลยครับ แอดฯ จำได้ คนเรานะครับ เวลาพูดมันง่ายหมด แต่ตอนทำจริง มันยากครับ
ข้อ 2 - 3 ถ้านักกฎหมายท่านนี้ เปิดดู Google จะรู้ว่าทางกระทรวงชี้แจงไปหมดแล้ว ว่าการฉีดจะลุยให้ทั่วถึง จบเกมในปีนี้ แน่นอน
ข้อ 4 คณะกรรมการชุดนี้ตั้งขึ้นมา แบ่งเบาภาระทีม สธ. ที่ต้องผันตัวไปจัดการเรื่องบริหารจัดการการรักษาครับ เป็นการบูรณาการงานช่วยเหลือกัน ไม่ใช่ว่าเป็นการออกมาแก้เกี้ยวเหมือนที่ฝ่ายการเมืองวิเคราะห์
ข้อ 5 รัฐบาลไม่ได้หมายมุ่งจะจำกัดการนำเข้าวัคซีนเพียงบางยี่ห้อ แต่อยากได้มากกว่านั้น ทว่าการซื้อหายังยากลำบาก เพราะผู้ผลิตก็มีสารพัดเงื่อนไข บางเจ้าบังคับซื้อ บางเจ้าบังคับส่งช่วงปลายปีเท่านั้น อุปสงค์ อุปทาน ไม่ตรงกัน การเจรจาก็ต้องยุติ เรื่องราวเหล่านี้ มีการนำเสนอไปหมดแล้ว...”
5. สุดท้าย นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เคยกล่าวไว้ว่า
“...ในขณะที่เราตั้งคำถามกับประเทศของเรา ว่าทำไมตรวจน้อย ทำไมไม่ใช้แอป ทำไมไม่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทำโน่นทำนี่ ทำไมไม่เคอร์ฟิว 24 ชั่วโมง ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้
ในขณะที่ท่านถามคำถามเหล่านี้.....ก็มีประชากรประเทศอื่น ตั้งคำถามกับประเทศของเขาเหมือนกัน ถามว่า ทำไมประเทศเค้าถึงไม่มีอสม.ล้านคน ทำไมเค้าไม่มีนักระบาดวิทยาที่มีความรู้ความสามารถมีนักปฏิบัติการทางแล็บที่มีความสามารถแล้วก็ทุ่มเทในการทำงานที่เพียงพอ ทำไมคนของเค้าไม่ใส่หน้ากากผ้ามากแบบบ้านเรา ทำไมบ้านเค้าถึงไม่มีเจลแอลกอฮอล์วางอยู่อย่างทั่วถึง ทำไมคนของเค้าออกนอกบ้านทุกครั้งที่มีประกาศห้าม
...ในขณะที่คนของเราอยู่ในบ้าน ทั้งที่ไม่มีประกาศห้าม ทำไมคนบ้านเค้าไม่มีคนที่มีน้ำใจเอาของมาแจกไม่ว่าจะเอามาแจกโดยตรงกับหน่วยงานของรัฐ หรือเอาไปแจกตามสถานที่ต่างๆ เป็นความเอื้อเฟื้อที่ร้านขายของอะไรต่างๆ ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ
...เพราะฉะนั้น ไม่มีประเทศไหนเหมือนกัน และความสำเร็จของเราเป็นความสำเร็จที่ประเทศอื่นลอกเลียนแบบไม่ได้ เพราะฉะนั้น อยากให้พวกเราเข้าใจว่า มาตรการของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน เพราะว่าต้นทุนของแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกัน”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี