ช่วงนี้ เราเห็นการเสพข้อมูลและการแสดงออกหลายแบบ เช่น
“ถ้าเราได้วัคซีนทั่วถึงทุกคน ป่านนี้เราเปิดประเทศ เดินหน้าเศรษฐกิจไปได้แล้ว”
“ถ้าเราได้วัคซีนกันเร็วกว่านี้ น้าค่อมคงไม่ตาย”
“รัฐบาลทำให้ร้านอาหารเจ๊ง มันไม่ได้ทำมาหากินเอง มันไม่รู้หรอก”
“ทำไมไม่ล็อกดาวน์ ให้มันเด็ดขาด ให้มันจบๆ ไม่มีภาวะผู้นำ”
“กะลาแลนด์ ไหนล่ะวัคซีน ดูอย่างอิสราเอล อเมริกา อังกฤษ เขาถอดหน้ากากอนามัยกันแล้ว” ฯลฯ
1. ทุกคนในโลก รวมถึงผมด้วย อยากได้วัคซีนที่มีคุณภาพโดยถ้วนหน้า เร็วที่สุด ไม่อยากให้มีใครตาย
แต่ในความเป็นจริง จนถึงวันนี้ ยังไม่มีประเทศไหนในโลกมนุษย์ฉีดวัคซีนได้ถึง 70% ของประชากร (อิสราเอล 57% แต่ล่าสุด ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม แถมคนที่ติดเพิ่มยังฉีดวัคซีนไป 2 โดสแล้วด้วย)
และในความเป็นจริง แม้แต่ประเทศที่ฉีดวัคซีนไปเยอะกว่าไทยแล้ว ก็ยังมีคนตายเพิ่มรายวัน เช่น
สหรัฐ ตายเพิ่ม 661 คน
อังกฤษ ตายเพิ่ม 7 คน
อิตาลี ตายเพิ่ม 226 คน
เยอรมนี ตายเพิ่ม 160 คน
ฝรั่งเศส ตายเพิ่ม 192 คน ฯลฯ
แล้วไทยเราจะไปเอาวัคซีนจากไหนมาฉีดถ้วนหน้า ขนาดประเทศที่ผลิตวัคซีนส่งออกอย่างสหรัฐ อังกฤษ อินเดีย ยังตายเพิ่มกันทุกวัน
มันต้องพูดกันบนฐานความเป็นจริง ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึก หรือความต้องการอย่างเดียว
2. ความเห็นบางส่วนที่มีลักษณะด่าทอ โจมตีไปถึงทีมแพทย์ หมอพยาบาล ระบบสาธารณสุขไทย และบางรายออกแนวปลุกระดมไล่รัฐบาล แล้วพาลให้เอาทักษิณบ้าง เอาธนาธรบ้าง มาบริหารประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นการเอาปัจจุบันไปสรุปอดีต โดยไม่ดูบริบท เงื่อนไข และสถานการณ์ในขณะนั้นๆ
ปีที่แล้ว วัคซีนทุกยี่ห้อยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเท่าปีนี้ผลข้างเคียงเป็นอย่างไร อันตรายแค่ไหน ประสิทธิภาพคุ้มมั้ย การขนส่งและเก็บรักษามีต้นทุนสูงขนาดไหน ผู้ขายตั้งเงื่อนไขสารพัด ฯลฯ การตัดสินใจซื้อวัคซีนในวันนั้นอาจจะเป็นการตัดสินใจผิดก็ได้ เหมือนที่หลายประเทศตัดสินใจเอาอนาคตไปฝากไว้กับโคแวกซ์ ซึ่งได้รับวัคซีนล่าช้า และไม่ครบตามจำนวน (หลายคนก่นด่ารัฐบาลไทยว่า ตกขบวนโคแวกซ์)
วันก่อน ผมได้แสดงความเห็นไปบ้างว่า
“นี่คือข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความเห็นหรือความรู้สึกนะครับ
1. อิสราเอล ฉีดวัคซีนครอบคลุมที่สุดในโลกมีประชากร 9 ล้านคน ฉีดได้ 57.9% ของประชากรฉีดแล้ว 10.48 ล้านโดส ล่าสุด ยังมีคนตายเพิ่มอีก 1 คน ป่วยเพิ่มอีก 74
2. ประเทศไทย ประชากรเกือบ 70 ล้านคน ทยอยฉีดแล้ว 1.47 ล้านโดส เป้าหมาย 100 ล้านโดส เดือนหน้าจะเพิ่มกำลังฉีดเดือนละมากกว่า 10 ล้านโดส (เฉพาะใน กทม. มีร้อยกว่าจุดฉีด 5 หมื่นโดสต่อวัน)
เราดีลผลิตวัคซีนเองในประเทศ ไม่ต้องเสี่ยงเรื่องถูกระงับจัดส่งเหมือนหลายประเทศตอนนี้
ภายในเดือน ก.ค. เราจะฉีดวัคซีนจำนวนโดสแซงอิสราเอล
3. ไทยจองฉีดกันแล้ววันนี้ คนจองผ่านไลน์และแอปสำเร็จวันแรกเกือบ 3 แสนคน ตามภาพ
ส่วนแม่ยายผม อยู่ ตจว อสม. มาถามเลย
4. กูไม่เอา ต้องโทนี่มาบริหารสิวะ ถึงจะเจ๋ง
ต้องพี่เอกสิวะ ไม่มีคนตายแบบนี้หรอก
อันหลังนี้ รำพึงความรู้สึก ก็ต้องตอบด้วยความรู้สึกว่า เลิกโหนนะไอ้สัส”
ถ้าจะเทียบระหว่างไทยกับอิสราเอล ขอให้ดูภาพเปรียบเทียบด้านล่างนี้ จะเห็นว่าอิสราเอลมีเงื่อนไขอะไรบ้าง และไทยเราเป็นอย่างไร
3. ลองเปรียบเทียบประเทศที่มีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับไทย (แต่รวยกว่าไทยมาก ฐานภาษีใหญ่กว่า เก็บภาษีแพงกว่า ทรัพยากรทางการแพทย์สูงกว่า) ใครบริหารจัดการรับมือกับโควิดเป็นอย่างไร นำมาเปรียบเทียบให้ดูดังตารางข้างล่างนี้ เพื่อให้พิจารณาว่า “ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด” จริงหรือ?
และผมก็ได้รวบรวมข้อมูลมาบอกกล่าวด้วยว่า
“น้าค่อมได้เตียงไอซียู มึงก็ด่า
น้าค่อมตาย มึงก็ด่า
1. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมที่สุดตอนนี้ คือ อิสราเอล (ฉีดแล้ว 57.9% ของประชากรที่มีอยู่ 9 ล้านคน) มึงรู้มั้ย เขาก็มีคนติดเชื้อเพิ่มและตายอยู่ทุกวัน ล่าสุดตายอีก 1 ตายสะสมแล้ว 6,363 คน
คือในประชากรล้านคน เขาตาย 692 คน
(ของไทย ในประชากรล้านคน ตาย 3 คน)
2. ประเทศชิลี ฉีดวัคซีนครอบคลุม 27.5% (อันดับ 5 ของโลก) ล่าสุด ตายเพิ่มอีก 106 คน ป่วยเพิ่ม 7,254 คน
คือ ในประชากรล้านคน เขามีคนตาย 1,369 คน
3. ประเทศบาห์เรน ฉีดวัคซีนไปแล้ว 40.7% (อันดับ 4 ของโลกนะ) ล่าสุด ตายอีก 7 คน ป่วยเพิ่มวันเดียว 1,182 คน
ในประชากรล้านคน เขามีคนตาย 369 คน
(ย้ำ ของไทยแค่ 3 คนนะ)
4. UAE ที่พ่อโทนี่ของมึงไปอยู่ ฉีดวัคซีนแล้ว 48.1% (ครอบคลุมอันดับ 3 ของโลก)
มึงรู้มั้ยเมื่อวาน ตายอีก 3 คน ติดเพิ่มอีก 1,974 คน
ในประชากรล้านคน เขาตาย 195 คน
รัฐบาลเขา ทีมสาธารณสุขเขา โคตรเก่งเลยเหรอวะ
5. ประเทศเศรษฐีอย่างซาอุฯ ตายเพิ่มอีก 11 คน ป่วย อีกเป็นพัน ในล้านคนตายไป 197 คน
ไม่ต้องพูดถึงสหรัฐ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน เยอรมนี อังกฤษ (ตายเพิ่ม 15 คน) แม้แต่สวีเดน (ตายเพิ่ม 33 คน)
อินเดีย (นี่เจ้าพ่อวัคซีนเลย) ตอนนี้หาฟืนมาเผาศพไม่ทัน แม้แต่ที่จะเผาศพยังไม่มี
6. ทั้งหมดนี่ คือ รัฐบาลเค้าเก่งมาก สุดยอดมาก รับผิดชอบดีมาก
ส่วนไทย ผนงรจตกม งั้นเหรอวะ
ใครโง่กันแน่วะ
แล้วฝ่ายค้านที่ไล่รัฐบาลออกไป เอารัฐบาลมืออาชีพเนี่ย มึงคิดว่า มืออาชีพด้านไหนกันแน่ที่จะมา แบบที่เคยให้น้ำท่วมสนามบินดอนเมืองปี’54 นั่นมั้ย
ปัดโธ่
ใช้ปากมันง่าย หมามันก็เห่าเป็น
ปล. ขออภัย หัดพูดหยาบบ้าง เผื่อจะเท่”
4. บางคนเอาการคิดคาดการณ์อนาคตของตนเอง หรือของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล นำมาด้อยค่า เหยียบย่ำ วิพากษ์วิจารณ์โจมตีการทำงานของ ศบค. และทีมแพทย์
อยากให้อ่านข้อเขียนในเฟซบุ๊ค “หมอแก้ว ผลิพัฒน์” หรือ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ชวนให้ย้อนกลับไปดูความเป็นจริง และให้วิธีคิดที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์จริง น่าสนใจมาก ระบุว่า
“คำพูดของลื้อมันมีแต่ heat ไม่มี light
วันนี้พอมีเวลาได้นั่งอ่านความคิดของนักวิจารณ์สถานการณ์โควิด
อ่านแล้วนึกถึงคำสอนอาจารย์ธาดาที่เคยกล่าวไว้
การวิพากษ์วิจารณ์ควรมี light ไม่ใช่ heat คำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ควรเป็นคำวิจารณ์ที่ “ชี้ทางสว่าง” – light ไม่ใช่เป็นเพียงคำวิจารณ์ที่แค่ “เอามัน” “สะใจ” หรือ “สร้างความสับสน” - ความร้อนรน – heat
มันก็คงมีเหตุจูงใจที่ทำให้นักวิจารณ์สถานการณ์โควิดนำเสนอแต่ heat
แรกก็คือ มันทำแล้วดัง มีสำนักข่าวต่างๆ เอาไปตัดแปะ แถมยังเชิญให้มาออกทีวีอีกต่างหาก ย่ิงร้อนแรงยิ่งดูน่ากลัว
ยิ่งมีถ้อยคำเสียดสี ยิ่งมีการตั้งชื่อเรียกแปลกๆ-ยิ่งดังมากยิ่งสร้างความสับสนก็ยิ่งได้รับความสนใจ
สอง คือ มันง่าย บอกแค่ว่ามันมีปัญหาตรงไหน ใครเป็นคนผิด แล้วขยี้แต่งแต้มเติมสีสันลงไป นักวิจารณ์บางคน
ไม่รับผิดชอบแม้แต่การตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงที่ได้รับมามันถูกต้องหรือไม่
สาม ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ก็คือ การชี้ทางสว่าง หรือการชี้แนะทางออกที่เป็นไปได้ มันยากครับ ต้องสืบค้นและเข้าถึงข่าวสารที่ถูกต้อง วิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารหลากหลายมิติที่มีความไม่แน่นอนสูงอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) ซึ่งงานอย่างนี้ต้องการคนที่มี “มันสมอง”มาทำงาน
นักวิจารณ์แบบเอามันที่สามารถสร้างความสับสนมากๆ มักจะชอบสร้างภาพให้ดูน่าตกใจหรือไม่ก็ใช้ถ้อยคำที่เสียดสี เช่น
* อาจารย์สามแสนห้า-ออกมาบอกว่าถ้าไม่ล็อกดาวน์แบบอู่ฮั่น สงกรานต์ ๖๓ จะมีผู้ติดเชื้อ ๓๕๐,๐๐๐ แน่ๆ ซึ่งโชคดีมากเลยที่เราไม่เชื่อเขา ไม่ได้ล็อกดาวน์แบบอู่ฮั่นจริงๆ เพียงแค่ให้ปิดสถานที่เสี่ยงเท่านั้น ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังมีผู้ติดเชื้อ
รายงานในระบบยังไม่ถึงหนึ่งแสนคนเลย
* อาจารย์สลอธ - ออกมาบอกว่า ช้าแล้ว คุมไม่ได้แล้ว เอาไม่อยู่แล้ว แย่แล้ว ระบาดทั่วประเทศแน่นอน
* อาจารย์มโนฉากทัศน์-ออกมาสร้างฉากทัศน์มากมายพยายามอธิบายภาพอนาคต ทุกฉากทัศน์“เอามัน” คือคุมไม่ได้ คุมไม่อยู่ จะระบาดไปทั่วประเทศ
* อาจารย์เทเลทับบี้-ออกมาบอกว่าการระบาดระลอก ๒ ที่สมุทรสาครต้องล็อกดาวน์ (อีกแล้ว) แถมยังบอกอีกว่า ถ้าไม่ล็อกดาวน์ ไม่มีทางที่จะควบคุมโรคได้ วิจารณ์คนทำงานที่ทำงานหนักและทำงานอย่างถูกวิธีว่าใช้ยุทธวิธีเทเลทับบี้
แล้วยังไงครับ การระบาดที่สมุทรสาครเหลือผู้ติดเชื้อหลักเดียวในช่วงต้นเดือนเมษายน
* อาจารย์ระบาดจำเป็น-ออกมาบอกว่าการระบาดสมุทรสาครกับทองหล่อเป็นการระบาดต่อเนื่องกัน ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเชื้อคนละตัวกัน
* อาจารย์วัคซีน - ออกมาวิจารณ์วัคซีนที่ไทยซื้อไม่มีประสิทธิภาพ ทำไมไม่ไปซื้อวัคซีนที่ไทยไม่ได้จอง วัคซีนบริษัทอื่นดีกว่าเยอะ ฯลฯ
ไปต่อได้เรื่อยๆ ครับ ถ้าอ่านอีก ก็คงจะเจออีก
เรื่องพวกนี้ เห็นชัดๆ ครับว่า บางเรื่องไม่ใช่เป็นการบอกเตือนสังคมด้วยใจที่มี “ธรรม”
คำวิจารณ์พวกนี้ แทบไม่ช่วยสถานการณ์เลยครับ
บางครั้ง กลับทำให้คนทำงาน ทำงานยากขึ้นอีก
จริงๆ แล้ว เราต้องเปิดใจนะครับ คนทำงานย่อมมีความผิดพลาดได้
ขนาดนักวิจารณ์ยังผิดพลาดเลย บางคนผิดซ้ำผิดซาก ผิดพลาดมากกว่าคนทำงานซะอีก
ผมขอเสนอวิธีการเดินไปข้างหน้าดูนะครับ
สำหรับคนที่ชอบวิจารณ์สถานการณ์โควิด ผมคิดว่าท่านควร
๑) ตั้งสติ เอาอคติวางไว้ข้างนอกวงก่อนเริ่มวิจารณ์ คิดประเด็นที่ท่านอยากจะให้ข้อเสนอแนะ ไม่ใช่คิดถึงสิ่งที่ท่านจะติ
๒) วิเคราะห์สถานการณ์ให้รอบด้าน พิจารณาทุกมิติ
๓) ระบุทิศทางหรือเป้าหมายของการจัดการกับปัญหาให้ชัดเจน (หลายครั้งผู้วิจารณ์มักไม่ค่อยบอกว่าเขาอยากเห็นอะไรเกิดขึ้นในสังคม ซึ่งการตัดสินใจทำอย่างหนึ่งย่อมมีผลกระทบต่ออีกด้านหนึ่ง)
๔) วิเคราะห์ทางเลือกด้วยใจที่ไร้อคติ ด้วยความเข้าใจว่าคนไทยมี ๖๐ กว่าล้านคน ไม่ได้มีท่านคนเดียวคนอื่นเขาก็ต้องการจะ “รอด” ด้วยเหมือนกัน
๕) เสนอ “ทางสว่าง” อย่างสร้างสรรค์ และด้วยใจที่มีเมตตา...”
สรุป
ประเทศไทยเรายังไม่ร่วงหล่นลงไปในหุบเหวของระบบสาธารณสุขที่ล้มเหลว เหมือนบางประเทศ
ที่ผ่านมา ตั้งแต่รอบแรก นักแช่งหลายคนเคยคาดการณ์ในทางร้ายไว้มากมาย แต่เราก็ผ่านมาได้
แนวโน้มสถานการณ์ในไทยล่าสุด ทรงตัว ค่อยๆดีขึ้นช้าๆ จำนวนผู้ติดเชื้อชะลอลง มียานำเข้ามาตุน มีโรงพยาบาลสนามที่หลายฝ่ายช่วยกัน (แต่ต้องช่วยกันเข้มงวด ไม่ให้มีคลัสเตอร์ใหญ่ๆ เพิ่มมาอีก) มีแผนการจัดหาและฉีดวัคซีนที่รัดกุม ยืมจมูกคนอื่นหายใจน้อยที่สุด แต่แน่นอนว่าการจัดการสถานการณ์ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากพร้อมๆ กันในช่วงที่ผ่านมา ย่อมจะไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ จึงต้องปรับแก้ สรุปบทเรียนกันต่อไป
แต่มิใช่ว่าจะให้นักการเมืองฉวยโอกาสบางจำพวก เล่นเกมสกปรก เพื่อหวังแย่งชิงอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงข้อมูลความเป็นจริง และประโยชน์อันแท้จริงของประเทศชาติและประชาชน
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี