ในช่วงปัจจุบัน สังคมประชาธิปไตยที่สหรัฐอเมริกามีอาการป่วยค่อนข้างสาหัส ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานะของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลก และต่อความเป็นไปในโลกกว้างด้วย จึงมีความคิดเห็นกันทั่วไปว่าประชาธิปไตยของสหรัฐฯ นั้นจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยต้องเริ่มต้นที่เมืองอเมริกาเป็นสำคัญนั่นเอง
นั่นก็เพราะว่า การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา ได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบ หรือแม่พิมพ์ประชาธิปไตยของโลกประเทศหนึ่ง หากแต่บัดนี้กลับดูไม่น่าชื่นชม เพราะสังคมประชาธิปไตยของสหรัฐฯ นั้นเต็มไปด้วยความแตกแยก ร้าวฉาน โดยมุ่งเอาแพ้เอาชนะหักล้างกันให้ถึงที่สุด ท่ามกลางการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างแน่ชัด บวกการโฆษณาชวนเชื่อ การมอมเมากันด้วยข้อมูลเท็จ ข้อมูลเบี่ยงเบน ข้อมูลใส่ป้ายร้ายป้ายสี และการเสริมสร้างการจงเกลียดจงชังต่อกันและกัน
สาเหตุที่สังคมการเมืองประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ก้าวเข้าสู่สภาพอ่อนเปลี้ย เน่าเฟะ ก็เพราะในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา บรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองอเมริกันทั้งหลาย ต่างมิได้ยึดมั่นในอุดมคติ และอุดมการณ์ มิได้ทำหน้าที่เพื่อเสริมสร้างประโยชน์ส่วนรวม และมิได้เทกายเทใจเทสติปัญญาให้กับปวงชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย (ที่เป็นผู้ที่ได้หย่อนบัตรลงคะแนนเสียง)
นั่นก็เกิดจากการที่สังคมประชาธิปไตยของอเมริกาได้ตกไปเป็นทาสของอำนาจเงิน และอิทธิพลของกลุ่มทุนบรรษัทยักษ์ใหญ่ (Corporations) หรือนัยหนึ่งระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแบบบรรษัทยักษ์ใหญ่ (Corporate Capitalism) ซึ่งได้เข้ามาครอบงำระบบ และแวดวงการเมืองของสหรัฐอเมริกาอย่างมากมาย และฝังรากลึก อันหมายถึงการตอบสนองความต้องการ และอะลุ้มอล่วยต่อผลประโยชน์ โดยเฉพาะการหากำไรของฝ่ายกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ให้มากมายเป็นนิจสิน แทนที่จะไปดูแลธุรกิจขนาดกลางและย่อย และความเป็นอยู่ของบรรดามนุษย์เงินเดือนชนชั้นกลาง และแรงงานรายวันรายชั่วโมง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม
ซ้ำเติมด้วยการที่บรรษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ เลือกที่จะปิดโรงงานผลิตในสหรัฐอเมริกา แล้วไปตั้งโรงงานในประเทศอื่นๆ แทน เพื่อที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ และค่าจ้างแรงงานราคาถูก โดยอยู่บนพื้นฐานแนวคิดในการสร้างกำไรให้ได้มากที่สุด สุดท้ายก็ก่อให้เกิดการกระจุกตัวของความมั่งคั่ง และขยายช่องว่างระหว่างผู้มีอันจะกินกับผู้มีรายได้ต่ำให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ
การนี้ ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาของความไม่พึงพอใจและโกรธแค้นในคนทั่วไปต่อชนชั้นนำ ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายนักการเมืองและธุรกิจรายใหญ่ ก็นำไปสู่การประท้วง และการรวมตัวกันในการปฏิเสธเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ของการไร้พรมแดน การโยกย้ายโรงงาน และทุน เกิดการสนับสนุนให้ปิดประเทศเพื่อมิให้คนต่างด้าวเข้ามาแย่งงานทำ ไปจนถึงการตั้งแง่ ตั้งข้อรังเกียจ ผู้ต่างสีผิวและต่างความเชื่อถือ เปิดโอกาสให้มีการรวมหัวกันเพื่อเสริมสร้างความเป็นชาตินิยม และการใฝ่หาผู้นำทางการเมืองที่จะตอบสนองความต้องการ
แต่ทั้งนี้ ชาวอเมริกันก็ยังมิได้ตระหนักว่า ต้นตอของปัญหาที่แท้จริงนั้นมาจากการครอบงำเวทีการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยกลุ่มทุนบรรษัทยักษ์ใหญ่ ที่ชักใยนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง ในการปรับเปลี่ยนนโยบาย และกระบวนยุทธ์ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มทุนของตน โดยไม่สนใจผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง
แทนที่จะไปชี้นิ้วกล่าวหาว่า แรงงานต่างชาติผู้อพยพลี้ภัยจากต่างแดน เข้ามาแย่งงานชาวอเมริกัน หรือการกล่าวหาว่าประเทศอื่นๆ เช่น จีน หรือญี่ปุ่น หรือสหภาพยุโรป เอารัดเอาเปรียบในเรื่องการทำมาค้าขาย ชาวสหรัฐฯ ควรจะต้องหันกลับมาดูปัญหาพื้นฐานที่บ้านของตน ซึ่งจะต้องร่วมมือกัน ทำการเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรค และนักการเมืองทั้งหลาย ยุติการตอบสนองผลประโยชน์ของบรรษัทยักษ์ใหญ่ และปลดแอกภาคการเมืองสหรัฐอเมริกาออกจากการครอบงำของกลุ่มทุนการเมือง แล้วหันกลับมารับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งในเรื่องการสร้างงาน การปฏิรูประบบการศึกษา ให้สอดคล้องกับยุคสารสนเทศแห่งโลกาภิวัตน์การปฏิรูประบบการรักษาพยาบาลให้ทั่วถึง ยุติธรรม และในสนนราคาที่รับผิดชอบได้ ไปจนถึงการปฏิรูปการบริการด้านสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน และความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะจากการประพฤติเกินขอบเขตของฝ่ายเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ราษฎร
คู่ขนานกันไปก็คงเป็นเรื่องของการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติที่หลากหลาย ให้มีการปฏิบัติอย่างทัดเทียมกัน ให้มีการเคารพ เข้าอกเข้าใจต่อกันและกัน แทนการเหยียดหยาม ไม่ไว้ใจ และหวาดกลัวซึ่งกันและกัน ซึ่งในการนี้การจัดงบประมาณก็จะต้องเสริมสร้างความสมดุลระหว่างเรื่องความมั่นคง กับเรื่องเศรษฐกิจและสังคมด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หรือมุ่งไปในภาคส่วนหนึ่งใดเกินความเหมาะสมจำเป็น
สหรัฐอเมริกาจำต้องแก้ปัญหาภายในต่างๆ ที่ปล่อยให้เรื้อรังมา 30 กว่าปีแล้ว ซึ่งเมื่อทุกคนตระหนักถึงเรื่องที่ไปที่มาของปัญหา ก็น่าจะอยู่ในวิสัยที่จะดำเนินการแก้ไขได้
และหากมีการร่วมมือกันแก้ไข ก็น่าจะแก้ไขได้ โดยจะส่งผลให้ความเป็นผู้นำโลกของสหรัฐอเมริกากลับมามีความโดดเด่น มิได้จำกัดอยู่ที่พลังอำนาจทางการทหาร หากแต่รวมถึงพลังทางด้านปัญญา ความนึกคิด และจิตใจในเรื่องความเป็นเสรีชนของมวลมนุษย์อีกด้วย
สำหรับประเทศไทย เราก็ได้เห็นการเมืองประชาธิปไตยที่เงินเป็นใหญ่มาเป็นเวลานานเช่นกัน ซึ่งเราต่างก็เจ็บปวดกันมามาก ทั้งๆ ที่วันนี้ เรามีนายกรัฐมนตรี ที่ทุกฝ่าย ทุกคนกล่าวถึงว่า เป็นคนดี
มีความตั้งใจ แต่หาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชายังคงสนับสนุนกลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยไม่สนใจความเป็นอยู่ของประชาชนไทยอย่างที่ควรเป็นแล้ว ความดีในอดีตของนายกรัฐมนตรีก็คงไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนายกรัฐมนตรีนั้นแวดล้อม และได้รับการหนุนหลังจากบรรดาผู้คนที่ไม่ดี ผู้ที่เป็นผู้ร้ายของบ้านเมือง(หรือเป็นโจรการเมือง)
ปัญหาความถดถอยทางประชาธิปไตยของไทยกับสหรัฐอเมริกานั้นไม่ได้แตกต่างกัน ทั้งความแตกแยกทางความคิดของสังคม ที่เกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อเอาชนะคะคานกันโดยไม่สนใจอนาคตประเทศ รวมทั้งการที่ภาคการเมืองมุ่งรับใช้กลุ่มทุนเป็นหลัก เพียงเพื่อรักษาฐานอำนาจของตน (เพียงแต่ของไทยนั้นจะถอยหลังมากกว่า ตรงที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งล่าสุด ที่อ้างความเป็นไทยมาสนับสนุนความไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยของสากล)
หาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดเปลี่ยนใจคิดว่าอยากจะสร้างชื่อให้ระบือไกลว่าเป็น วีรบุรุษของประเทศไทยก่อนจะอำลาวงการเมืองไป ในวันนี้ พลเอกประยุทธ์ จะต้องเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ในการที่จะแต่งตั้งคนดีๆ มีฝีมือ และมีศีลธรรมมาเข้าร่วมทำงานเท่านั้น โดยขจัดเอาพวกสีเทา สีดำ ที่ชาวบ้านร้องยี้ออกไปจากข้างกายเสียที
การทำเช่นนี้ แม้จะทำให้ขาดฐานเสียงในสภาไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะในเวลาไม่นานที่ก้มหน้าก้มตาบริหารงานเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศแทนผลประโยชน์ของนายทุน นายกรัฐมนตรีก็จะมีฐานเสียงที่ยิ่งใหญ่และมีคุณค่ามากกว่ามาทำการสนับสนุน นั่นคือเสียงของปวงชนชาวไทยที่เห็นด้วยกับการประพฤติชอบ และประพฤติดีของท่าน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี