ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยเป็นคนหูเบา เชื่อง่ายไร้วิจารณญาณ เพราะคนจำพวกดังกล่าวหลงเชื่อเรื่องไร้สาระได้โดยง่าย แล้วยังส่งต่อเรื่องไร้สาระอย่างไม่รู้จบอีกด้วย
ไม่น่าเชื่อว่าถึงแม้คนหูเบาจำพวกดังกล่าวจะอยู่ในยุคที่เขาเหล่านั้นต่างก็มีเครื่องไม้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์จำนวนมาก หลายคนมีคอมพิวเตอร์ราคาแพง มีโทรศัพท์มือถือแบบ smart phone ที่มีราคาแพงระยับ แต่ทว่าน่าสมเพชที่คนจำพวกดังกล่าวกลับเป็นได้แค่เพียงคนมีเงินซื้อโทรศัพท์มือถือราคาแพง แต่ใช้โทรศัพท์มือถือได้แค่เพียงรับส่งข่าวเท็จตลอดเวลา เพราะไม่มีปัญญาใช้เครื่องมือที่ทันสมัยสืบค้นหาความจริงจากสังคมได้
ต้องบอกว่าไม่แค่เพียงสังคมไทยเท่านั้นที่มีคนน่าสมเพชดังที่กล่าวไปแล้ว แต่ทว่าในประเทศที่พัฒนามากกว่าไทยก็ยังมีคนชนิดเดียวกับสังคมไทยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในอิสราเอลนั้น แม้จะมีความก้าวหน้ากว่าไทยมากมาย แต่ก็มีข่าวลือไม่น้อยไปกว่าไทย
จากข้อมูลของทางการอิสราเอลประกาศว่าพลเมืองของอิสราเอลประมาณ 63 เปอร์เซ็นต์ ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีข่าวลือด้านลบ ซึ่งเป็นข่าวเท็จเกี่ยวกับวัคซีนแพร่กระจายอยู่ในสังคมอิสราเอลมิใช่น้อย ซึ่งทั้งนี้รัฐบาลอิสราเอลก็กังวลในการปล่อยข่าวลือข่าวเท็จเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เช่นกัน คือพูดง่ายๆ ว่ายังคงมีข่าวเท็จออกมาต่อต้านการฉีดวัคซีนตลอดเวลา
หากจะถามว่าทำไมคนจำนวนไม่น้อยจึงเชื่อข่าวลือข่าวเท็จที่ออกมาเพื่อทำลายล้างหรือต่อต้านการทำงานใดๆ ของรัฐบาล คำตอบคือ เพราะคนจำพวกดังกล่าวไม่เชื่อถือในคำพูดและพฤติกรรมของรัฐบาล ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องแก้ไขให้ได้ด้วยตัวของรัฐบาลเอง
แต่ก็มีผู้ตั้งคำถามต่อไปว่า แล้วถ้าหากรัฐบาลทำดีร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว รัฐบาลจะยังประสบข่าวกับการถูกฝ่ายตรงข้ามปล่อยข่าวเท็จทำลายล้างหรือไม่ คำตอบก็คือ ขึ้นกับว่าประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่ารัฐบาลทำดีโดยแท้จริงหรือไม่ เพราะต่อให้รัฐบาลทำดีอย่างสุดวิเศษ แต่ถ้าประชาชนไม่เชื่อ ก็ยังคงจะมีข่าวลือข่าวลบออกมาโจมตีทำลายล้างรัฐบาลวันยังค่ำ แต่ก็ต้องบอกว่าก็ยังดีกว่ารัฐบาลที่ทำเรื่องไม่ดี ชั่วช้าสามานย์ แล้วพยายามสร้างข่าวเท็จออกมาปกปิดเพื่อหลอกลวงประชาชนว่ารัฐบาลทำดี
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ารัฐบาลทำดีโดยแท้จริงมุ่งหวังผลประโยชน์ของสาธารณะเป็นที่ตั้งอย่างจริงจังแล้ว ต่อให้รัฐบาลถูกโจมตีด้วยข่าวเท็จข่าวลือ รัฐบาลก็จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนผู้มีสติปัญญา และประชาชนที่มีสติปัญญาจะเป็นแนวร่วมสนับสนุนรัฐบาลตลอดไป
หากจะถามว่าในสังคมไทยนั้น คนกลุ่มใดที่ตกเป็นเหยื่อของข่าวลือข่าวเท็จมากที่สุด ก็ต้องตอบว่าคำตอบในเรื่องนี้ที่เป็นทางการยังไม่ปรากฏ แต่เท่าที่ทุกท่านได้ประสบด้วยตัวเองก็คงจะตอบได้คล้ายๆ กันว่า คนเกือบทุกกลุ่มที่วันๆ ดีแต่ก้มหน้าอยู่กับจอโทรศัพท์มือถือล้วนตกเป็นเหยื่อของข่าวเท็จข่าวลือโดยเสมอหน้ากัน แล้วก็ต้องยอมรับว่า แม้กระทั่งคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นปัญญาชนชั้นนำของสังคมไทย เพราะเชื่อว่าตนเองจบจากมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของไทย ก็ยังตกเป็นเหยื่อของข่าวลือข่าวเท็จอยู่มิใช่น้อย เพราะพบเป็นประจำว่ามีการส่งต่อข่าวลือข่าวเท็จในไลน์กลุ่มของคนที่อ้างตนว่าเป็นปัญญาชนชั้นเลิศอยู่เสมอๆ
Prof. Dr. Shlomo Vinker แห่ง Tev Aviv University (Department of Family Medicine) ให้สัมภาษณ์ The Time of Israel เมื่อเดือนเมษายนปีนี้ว่า รัฐบาลอิสราเอลต้องเร่งจัดการกับเรื่องข่าวลือต่างๆ ที่แพร่กระจายใน social media โดยเร็ว ก่อนที่วัยรุ่นอิสราเอลจะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มจงใจปล่อยข่าวเท็จเพื่อต่อต้านวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพราะกลุ่มที่จงใจปล่อยข่าวเท็จปั่นเรื่องเท็จออกมาเป็นประจำจนทำให้วัยรุ่นไม่เชื่อมั่นการฉีดวัคซีน ดังนั้นภารกิจสำคัญของรัฐบาลคือต้องให้ความรู้ที่แท้จริงเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 กับวัยรุ่นทั้งประเทศ เพื่อมิให้วัยรุ่นตกเป็นเหยื่อของขบวนการปล่อยข่าวเท็จ
จะเห็นได้ว่าแม้กระทั่งประเทศมีประชากรของเขามีระดับสติปัญญาสูงส่งมิใช่น้อย ก็ยังประสบปัญหาข่าวลือข่าวเท็จแพร่ระบาด แล้วเมื่อเทียบกับประเทศไทย ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าปัญหาแพร่กระจายข่าวเท็จคือปัญหาที่ใหญ่มาก และเป็นปัญหาที่รัฐบาลไทยไม่มีปัญญาจัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ารัฐบาลไทยไม่น่าจะมีปัญญาจัดการกับขบวนการปล่อยข่าวเท็จให้หมดสิ้นไปจากประเทศนี้ได้เพราะแม้กระทั่ง สส. ไทยจำนวนหนึ่งก็ยังอยู่ในกระบวนการสร้างและร่วมปล่อยข่าวเท็จด้วย ดังจะพบว่าเมื่อเร็วๆ นี้มี สส. เพศหญิงรูปร่างกะทัดรัดรายหนึ่ง ที่ชอบไปแอบอยู่หลังม็อบเด็กสามนิ้วยังอุตส่าห์โพสต์ว่าตนเองยินดีเป็นที่สุดกับข่าวที่ตนเองรู้ว่าเป็นข่าวเท็จ (พูดเพียงเท่านี้หลายคนคงนึกหน้าของ สส. เพศหญิงรูปร่างกะทัดรัดรายดังกล่าวได้เป็นอย่างดี)
ก็ในเมื่อ คนที่อุตส่าห์ได้เป็น สส. ของประเทศไทยยังกล้าประกาศว่าตนเองยินดีกับข่าวเท็จเสียแล้ว จะไปหาเรื่องจริงใดๆ จากปากคำ และจากพฤติกรรมของ สส. ชนิดนี้ได้
ย้อนกลับไปที่เรื่องข่าวลือข่าวเท็จเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศไทย ก็จะพบว่ามีกลุ่ม สส.พรรคก้าวไกลจำนวนหนึ่งออกมาพูดทำนองทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือและสงสัยวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในแง่มุมต่างๆ แต่สุดท้ายแล้วสาธารณชนก็ได้พบว่า สส. ก้าวไกลจำนวนหนึ่งพากันแห่ไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างหน้าไม่อาย ก่อนที่ประชาชนไทยส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้ทำให้สาธารณชนได้ประจักษ์ชัดว่า สส.ก้าวไกลที่รีบพาตัวเองไปฉีดวัคซีนนี้ก่อนใครๆ ในประเทศไทยมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดกับการตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตลอดเวลา
สำหรับประเทศไทยนั้น วิญญูชนพบเป็นประจำว่ามีคนกลุ่มหนึ่งจงใจให้ข้อความเท็จเกี่ยวกับคุณสมบัติของวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยเป็นข้อที่ผิดพลาด ไม่น่าเชื่อถือตลอดเวลา แต่คนไทยก็ต้องมหัศจรรย์ใจมากที่หน่วยงานที่ทำหน้าที่ปราบปรามการส่งข่าวเท็จใน social media ของไทยไม่มีปัญญาจัดการนำคนกระทำผิดไปลงโทษตามข้อกำหนดของกฎหมาย
ต้องยอมรับว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยมีความคิดทางการเมืองแตกต่างกันมากจนกลายเป็นความแตกแยก เมื่อเกิดความแตกแยกทางความคิดก็นำไปสู่การสร้างสงครามข่าวเท็จเพื่อหวังล้มล้างทำลายฝ่ายตรงข้ามของตนอย่างดุเดือด สิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัดคือเรื่องสงครามข้อมูลเท็จเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ถูกจงใจปล่อยออกมาสร้างความโกลาหลให้สังคมตลอดเวลา และเราจะพบด้วยว่ามีความพยายามลบล้างความน่าเชื่อถือของบุคลากรทางการแพทย์ด้วยการทำให้ความน่าเชื่อถือด้านวิชาการการแพทย์ และความเป็นวิทยาศาสตร์ด้อยค่าลงไป
การจงใจปล่อยข่าวลือข่าวเท็จเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในสังคมไทยมาจากคนเพียงไม่กี่คน เช่น นักแสดงบางราย นักร้องบางคน ผู้จัดการข่าวบางคนนักธุรกิจบางจำพวก และนักการเมืองจำนวนหนึ่ง เราจะพบได้ว่าคนชนิดดังกล่าวนั้นพล่ามเพ้อเรื่องวัคซีนทั้งๆ ที่ตนเองไม่มีความรู้ทางการแพทย์ และทางเภสัชกรรมแม้แต่น้อย แต่ก็สามารถทำให้สังคมไทยเกิดความปั่นป่วนโกลาหลได้อย่างน่าวิตก (ทั้งนี้ยังไม่นับรวมถึงเรื่องที่รัฐมนตรีบางรายพูดจาเรื่องวัคซีนโควิด-19 ไม่ตรงกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูด)
อ้างอิงงานวิจัยของสถาบัน Reuters เพื่อการศึกษาด้านวารสารศาสตร์ที่ระบุว่า นักการเมือง คนดัง และบุคคลสาธารณะที่มีชื่อเสียง หรือเรียกว่า influencer มีส่วน
ในการสร้างข่าวเท็จเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แพร่กระจายในสังคม โดยเป็นการส่งเรื่องเท็จเกี่ยวกับเชื้อโควิด-19 ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ และพวกนี้จะโพสต์ข้อความต่างๆ ใน social media คิดเป็น 69 เปอร์เซ็นต์
แทนที่เราทุกคนจะต้องให้ความสำคัญกับความเห็นและข้อมูลเรื่องโควิด-19 ที่มาจากแพทย์ตัวจริงที่มีความรู้ด้านโควิด-19 จริงจัง แต่กลับปรากฏว่าคนไทย (และคนอื่นๆบนโลกใบนี้) กลับให้ความสำคัญกับข่าวเท็จ แล้วยังส่งต่อข่าวเท็จอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่สังคมไทยจึงมีแต่ความปั่นป่วนโกลาหล เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยหลงเชื่อข่าวเท็จ และช่วยกระจายข่าวเท็จทุกวินาที
ส่วนที่ถามว่า กระทรวง DES (ดิจิทัลเพื่อสังคม)มีปัญญาปราบปรามคนปล่อยข่าวเท็จผ่านระบบโซเชียลมีเดียได้หรือไม่ คำตอบคือ หวังพึ่งได้ยากมาก เราจะไปหวังพึ่งอะไรจากกระทรวงนี้ได้ เพราะแม้แต่ข่าวเท็จที่ถูกปล่อยออกมาจากคนทราม โดยพุ่งเป้าหมายทำลายล้างไปที่พระมหากษัตริย์และพระราชินีของไทย ก็ยังไม่เห็นว่ากระทรวง DES จะมีปัญญาขุดรากถอนโคนคนทรามเหล่านั้นให้หมดสิ้นไปได้
ขอสรุปทิ้งท้ายว่า การหลงเชื่อข่าวเท็จ และการแพร่กระจายข่าวเท็จในสังคมไทยนั้น มันขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญา ความรับผิดชอบต่อสังคม และดุลยพินิจของ
ผู้เสพข่าว หากผู้เสพมีสติปัญญาดีเพียงพอแล้ว ก็จะไม่เสพข่าวเท็จ และไม่ส่งต่อเรื่องเท็จ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี