การปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจโดยฝ่ายกองทัพพม่า ได้นำสังคมพม่าไปสู่การแตกแยกและการเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรง โดยฝ่ายกองทัพพม่าเป็นผู้ใช้กำลังอาวุธ และกฎหมายเป็นเครื่องมือในการปราบปรามฝ่ายต่อต้าน
ไม่ว่าจะดูอย่างผิวเผิน หรือจะดูอย่างลึกซึ้ง ก็เป็นที่แน่นอนว่าฝ่ายกองทัพพม่านั้นมีพลังอำนาจเหนือกว่าฝ่ายต่อต้านอย่างมากมาย ไม่ว่าจะทั้งกำลังคน อาวุธยุทโธปกรณ์ ทุนทรัพย์ และการใช้กฎหมายตามอำเภอใจ (ควบคู่กับปืนผาหน้าไม้)
จนกระทั่งบัดนี้ แม้ล่วงเลยมา 3 เดือนร่วมจะ 4 เดือนแล้ว การยึดอำนาจของกองทัพพม่ากลับยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ อีกทั้งการใช้กำลังอาวุธกวาดต้อนฝ่ายต่อต้านก็ไม่สัมฤทธิผลเรียกได้ว่า การปฏิวัติรัฐประหารยึดและครองอำนาจครั้งนี้ยังไม่แล้วแสร็จ และดูเสมือนว่าจะไม่เสร็จสิ้นลงง่ายๆ แถมยังจะค้างคาไปเรื่อยๆ เพราะฝ่ายต่อต้านยังดูไม่สะทกสะท้าน หรือยัง “อึด” อยู่
เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น เราก็น่าจะเปรียบเทียบพละกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายกันดูสักหน่อย
ฝ่ายคณะปฏิวัติรัฐประหาร มีทหารอยู่ในมือ 400,000 คน มีอาวุธยุทโธปกรณ์เพียบ และยังสามารถจัดหาได้เพิ่มอีกจากรัสเซียและจีน นอกจากนั้น ฝ่ายกองทัพก็ยังมีธุรกิจอยู่ในมืออีกมากมาย และมีเงินออมเก็บไว้ทั้งในและนอกประเทศ เรียกว่า ถ้าเล่นไพ่พนันกันก็จัดได้ว่า ฝ่ายกองทัพพม่านั้น “หน้าตัก” ไม่อั้น
ด้วยการที่มีทั้งจีนและรัสเซีย คอยให้ท้ายอยู่ ฝ่ายกองทัพพม่าจึงค่อนข้างแน่ใจว่า ประชาคมโลกผ่านองค์การสหประชาชาติจะไม่สามารถบีบคั้นพม่าได้อย่างสุดแรง นอกจากนั้น อินเดียก็อยากรักษาช่องทางติดต่อกับพม่าไว้ จึงเลือกที่จะไม่ทำอะไรให้เสียประโยชน์ในอนาคต ส่วนประชาคมอาเซียนนั้นยิ่งไม่กล้ากับกองทัพพม่า เพราะขาดหลักการและภาวะผู้นำ
ส่วนทางด้านฝ่ายต่อต้านนั้นมีกองกำลังอาวุธจากชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย บวกกับชนเผ่าพม่าที่มาสมทบภายหลัง และทำการเริ่มติดอาวุธ รวมกันประมาณ 80,000 คน
ข้อเด่นของฝ่ายต่อต้าน คือการมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งชนเผ่าพม่าที่เป็นชนส่วนใหญ่ กับบรรดาชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย รวมทั้งชนมุสลิมโรฮีนจา แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ฝ่ายต่อต้านมีความชอบธรรม และมีความถูกต้องในแง่กฎหมาย ที่แกนนำทั้งหลายเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 และจะมีการเปิดสภา และตั้งรัฐบาลในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 แต่ก็ถูกปฏิวัติรัฐประหารไปในวันเดียวกันนั้น
การนี้ก็เท่ากับว่า ฝ่ายกองทัพผู้ปฏิวัติรัฐประหารกระทำการผิดกฎหมาย และขาดความชอบธรรม ก็เป็นการยากลำบากที่จะได้รับการยอมรับ หรือการรับรองจากประชาคมโลก (แม้กระทั่งอาเซียน)
จัดได้ว่าฝ่ายกองทัพมีอำนาจดิบ แต่ขาดความชอบธรรม และความถูกต้องทางกฎหมาย ส่วนฝ่ายต่อต้านซึ่งได้จัดตั้งคณะรัฐบาลและองค์กรรัฐสภา เพื่อแข่งขันและเผชิญหน้ากับฝ่ายกองทัพผู้ปฏิวัติรัฐประหาร
ในสถานการณ์นี้กล่าวได้ว่า ชาวพม่าส่วนใหญ่ปฏิเสธการปฏิวัติรัฐประหาร และได้ทำการประท้วงอย่างกว้างขวาง สะท้อนการรับไม่ได้ซึ่งอำนาจเผด็จการ และความเหนื่อยหน่ายกับ “ทหารการเมือง”
ประเด็นคือ ฝ่ายกองทัพพม่าจะไล่ฆ่า ไล่จับกุมผู้คนไปได้อีกนานเท่าใด? และประชาคมโลกจะนิ่งเฉยได้อีกนานเท่าใด? แล้วจะหันมาเท “คะแนน” ให้ฝ่ายต่อต้าน เพราะเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรเมื่อใด?
ระหว่างนี้ผู้คนที่รักอิสระ รักประชาธิปไตยทั่วโลก ก็ต้องช่วยกันส่งกำลังใจ และส่งความช่วยเหลือไปให้ฝ่ายต่อต้าน เพื่อให้พวกเขาแข็งแกร่ง และมีกำลังพอที่จะออกแรงกดดันให้รัฐบาลกองทัพพม่ายอมแพ้ และ “สิ้นหวัง” ที่จะกลับมามีอำนาจในวงการการเมืองพม่าอีกต่อไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี