เมื่อหน้าฝนมาและยาวไปอีก 4-5 เดือนข้างหน้า ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่รัฐสภาไทยจะมีการอภิปรายพิจารณาลงมติในเรื่อง การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 (หากมองอีกแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องการลงทุนของภาครัฐด้วยภาษีของประชาชนในการพัฒนาประเทศ)
ขั้นตอนการดำเนินการทั่วๆ ไป ที่ทำจนเป็นประเพณีปฏิบัติกันมาก็คือ ฝ่ายราชการโดยกระทรวง กรมทั้งหลาย ก็จัดทำข้อเสนอการใช้จ่ายประจำปีถัดไป เพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ และ
นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ กล่าวง่ายๆ ว่า ฝ่ายราชการประจำจัดทำข้อเสนอการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้ฝ่ายการเมืองเห็นชอบ เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติต่อไป
ในทางปฏิบัติแล้ว การพิจารณาในรัฐสภาก็มักจะเป็นไปตามรายกระทรวง ทบวง กรม โดยฝ่ายการเมือง คือทั้งพรรคและผู้แทนราษฎรต่างมีความปรารถนาที่จะให้มีการจัดสรรงบประมาณ เพื่อไปลงในพื้นที่ที่เป็นฐานเสียง หรือไม่ก็ไปในเรื่องที่เคยให้คำมั่นสัญญากับประชาชนไว้ตั้งแต่ตอนหาเสียง และมาเพิ่มเติม ต่อเติมเอาเมื่อได้เข้ามากำกับ ควบคุมกระทรวงหนึ่งใด
เรื่องราวของการพิจารณาและอนุมัติงบประมาณเป็นรายกระทรวง ก็สะท้อนภารกิจของกระทรวงนั้นๆ ซึ่งแต่ละกระทรวงก็มักจะมีภารกิจที่เกี่ยวกับกลุ่มผู้คนและกลุ่มพื้นที่นั้นตามอำนาจหน้าที่
ของตน การพิจารณางบประมาณเป็นรายกระทรวงดังกล่าว ก็จะเห็นว่ากระทรวงนั้นๆ ต้องการงบประมาณไปเพิ่มเติม หรือปรับเปลี่ยนตามภารกิจที่ตนเองต้องการเป็นหลัก แต่ถ้าจะถามว่ากลุ่มผู้คนที่ด้อยโอกาส และกลุ่มพื้นที่ที่ยังล้าหลังอยู่ อยู่ที่ไหนบ้าง และจะแก้ไขคือการยกระดับหรือเติมให้เต็มนั้น บรรดากระทรวง ทบวง กรม ก็คงจะตอบไม่ได้ และไม่มีข้อมูล ก็มีผลให้กลุ่มคนที่ยังล้าหลัง หรือกลุ่มคนที่ยังตกหล่น หรือกลุ่มพื้นที่ที่ด้อยพัฒนาก็ยังอยู่ในสภาพนั้นๆ ต่อไป
ฉะนั้น การพิจารณางบประมาณเป็นรายกระทรวง ก็ต้องมีการพิจารณากลุ่มคนและกลุ่มพื้นที่ตกหล่นควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นการ “เติมให้เต็ม” หรือปรับ หรือยกระดับให้ทัดเทียมกันทั่วประเทศ
ขอยกตัวอย่างเรื่องการศึกษา หรือเรื่องการสาธารณสุข ซึ่งมีความเหลื่อมล้ำกันมากในสังคมไทยคุณภาพและปริมาณยังคงกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพมหานครและของหัวเมืองหลักๆ ไม่กี่หัวเมือง ซึ่งถือเป็นปัญหาในการเสริมสร้างความทัดเทียม หรือความเสมอเหมือนให้ทั่วถึงทั้งประเทศ
กรุงเทพมหานครนั้นมีโรงพยาบาลของตนเอง และควรเร่งขยายเพื่อรองรับความต้องการโดยไม่ต้องไปรับความช่วยเหลือจากส่วนกลาง ซึ่งจะช่วยอำนวยให้ฝ่ายรัฐบาลกลาง (โดยกระทรวงสาธารณสุข) สามารถลดการแบกรับการขยาย และเพิ่มคุณภาพโรงพยาบาลในสังกัดที่ กทม. แล้วนำงบดังกล่าวไปลงยังพื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งจะเป็นการ “เติมให้เต็ม” นอกจากนั้น ยังสามารถนำไปขยับขยายโรงเรียนแพทย์ เพื่อสร้างจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับให้เพียงพอ
อีกทั้ง การพิจารณางบประมาณนั้น ทั้งฝ่ายข้าราชการประจำ และฝ่ายข้าราชการการเมืองก็ดี ต้องตระหนักถึงเหตุปัจจัยฉุกเฉิน อ้างอิงจากสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ และสถานะของประเทศไทยมาประกอบอีกด้วย ซึ่งในวันนี้ได้มีสถานการณ์ฉุกเฉินพิเศษจากเหตุการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่กระทบไปทั่วประเทศ ทั้งความปลอดภัย และการดำรงชีวิตประจำวัน ถือเป็นประเด็นหลักระดับโลก เช่นเดียวกับเรื่องสภาวะโลกร้อน ความเหลื่อมล้ำในสังคม และความท้าทายจากโลกยุคสารสนเทศสมัยใหม่
ฉะนั้น ในการพิจารณาเรื่องงบประมาณที่ฝ่ายการเมืองต้องคำนึงถึง และต้องตระหนัก และกำหนดทิศทางประเทศให้แน่ชัด เข้มข้น ก็จะมีเรื่องการจัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริม
1.เศรษฐกิจการสาธารณสุข (Health Economy)
2.เศรษฐกิจสารสนเทศดิจิทัล (Digital Economy)
3.เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)
4.การค้นคว้าวิจัย และการส่งเสริมองค์ความรู้ต่อสาธารณชน
5.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อความเชื่อมโยงที่ทั่วถึง และคุณภาพได้มาตรฐาน
6.การพัฒนากำลังคน (Manpower) ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจใหม่ๆ ดังกล่าว
7.การได้รับค่าตอบแทนที่สอดคล้องกับค่าครองชีพ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐสภาก็จะต้องขะมักเขม้นกับการตรวจสอบการดำเนินการที่ใช้งบประมาณขนาดใหญ่ เช่น โครงการประชานิยมทั้งหลาย หรือโครงการรัฐร่วมเอกชน ที่ปัจจุบันยังดูขาดความโปร่งใส และขาดการแข่งขัน ซึ่งหากเป็นไปได้ ก็ควรยกเลิกทั้งหมด เพราะมีนัยว่ารัฐเอาเงินภาษีไปอุ้มเอกชนยักษ์ใหญ่โดยใช่เหตุ แล้วนำเอางบประมาณมาขับเคี่ยวกับโรคระบาดโควิด-19 กันอย่างเต็มที่เป็นเรื่องๆ ไป ไม่ใช่ดำเนินการแบบขอไปทีอย่างที่เห็น โดยขาดภาพรวมและแผนแม่บท อีกทั้งยังดูสับสน ไม่มีการประสานงานกันระหว่างนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งกันให้สัมภาษณ์ที่ข้อมูลไม่ตรงกัน จนสังคมสับสนไม่รู้จะฟัง หรือเชื่อใครดี
งบประมาณปี 2565 สามารถเป็นจุดเริ่มต้นว่า ไทยเราจะปรับตัวได้อย่างไรจากผลกระทบของโรคระบาดโควิด-19 และผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่การพึ่งพาเศรษฐกิจการส่งออกเป็นหลักนั้น ขาดความไม่แน่นอนและยั่งยืนแล้ว
เรื่องงบประมาณ ฝ่ายการเมืองจะต้องเป็นคนคิด มิใช่รอให้ฝ่ายข้าราชการประจำคิด ซึ่งหากไม่คิด ทั้งประเทศก็จะมืดมน นอกจากนั้นเมื่อฝ่ายรัฐบาลจะออกมติ จะตัดสินใจเกี่ยวกับปากท้องประชาชน ก็ควรที่จะได้รับฟังการท้วงติงหรือการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจจากฝ่ายรัฐสภาด้วย เพื่อให้ผลออกมาสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี