นับว่าเป็นสภาวะกลืนไม่เข้า คายไม่ออก สำหรับนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อพบว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างรุนแรงอันนำไปสู่การมีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากถึงวันละ 3-4 พันคนและเสียชีวิตเพราะโรคนี้เฉลี่ยวันละ 30-40 คน
ตัวเลขล่าสุดของวันที่ 26 มิถุนายน 2564 พบว่าในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4,161 คน ทำให้มียอดจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศรวม 240,452 คน และมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 จำนวน 51 คน ทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตเพราะโรคนี้สะสมรวม 1,870 คน ในขณะที่มีเรื่องน่าวิตกมากก็คือยังคงมีผู้ป่วยซึ่งมีอาการหนัก เนื่องจากปอดอักเสบอีกประมาณพันรายในประเทศไทย
หากจะนับตัวเลขผู้ป่วยและเสียชีวิตเพราะโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นมา พบว่ามีอัตราการติดเชื้อและตายเพราะโรคนี้สูงมาก ซึ่งนับว่าแตกต่างจากสถานการณ์เมื่อปี 2563 อย่างสิ้นเชิง
ส่วนจำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ถึง 24 มิถุนายน2564 มีจำนวนรวม 8,657,423 โดส โดยมีผู้ได้รับโดสแรกจำนวน6,206,353 คน และได้รับสองโดสเรียบร้อยแล้วคือ 2,451,070 คน
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีประกาศว่าภายในสิ้นปี 2564 คนไทยจำนวน 50 ล้านคน ต้องได้รับวัคซีนครบสองโดสแต่หลายฝ่ายก็กำลังเฝ้ามองว่า คำประกาศของนายกรัฐมนตรีจะเป็นความจริงได้หรือไม่ แต่จากข้อเท็จจริงในปัจจุบันพบว่าประเทศไทยมีวัคซีนหลักสองชนิดคือ ซิโนแวคและแอสตราเซเนกา และหากไม่มีสิ่งใดผิดไปจากแผนเดิม ภายในสิ้นปี 2564 ประเทศไทยจะมีวัคซีนจากสองยี่ห้อรวม 70 ล้านโดส แบ่งเป็นซิโนแวคจากจีน 9 ล้านโดส และแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศไทยอีก 61 ล้านโดส ซึ่งก็ยังไม่ครบ 100 ล้านโดส ตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ แต่ก็ยังมีความหวังว่าจะมีภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนป้องกันโควิด-19ชนิดอื่นๆ เข้ามาเสริมได้อีก
ในขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แต่กลับเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างน่าวิตก ก็ทำให้มีความกังวลเรื่องคนป่วยและคนตายที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน และยังมีเรื่องเศรษฐกิจของประเทศที่หลายฝ่ายวิตกว่าอาจจะเกิดสภาวะวิกฤติได้ หากยังเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคนี้อย่างมากมายเช่นในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีการนำประเด็นปิดประเทศ ปิดจังหวัด ปิดพื้นที่ (lock down) มาถกเถียงกัน ในขณะที่นายกรัฐมนตรีประกาศเปิดประเทศไทยในอีก 120 วัน (ประกาศตั้งแต่ช่วงประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2564)
ล่าสุดนายกรัฐมนตรีประกาศว่าไม่ lock down กรุงเทพฯ หลังจากที่มีคุณหมอบางรายเสนอให้ lock down กรุงเทพฯ และจังหวัดพบการแพร่ระบาดโควิด-19 จนเข้าขั้นวิกฤติเป็นเวลา 7 วัน เพื่อยับยั้งปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อ
นายแพทย์นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบาดการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เสนอให้แก้ปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยให้ lock down กรุงเทพฯอย่างน้อยเป็นเวลา 7 วัน เพื่อให้สามารถจัดการปัญหาโควิด-19 ลดปัญหาเดิมและป้องกันการเกิดปัญหาใหม่ และเสนอว่าเมื่อ lock downกรุงเทพฯแล้วต้องไม่ปล่อยให้คนจากกรุงเทพฯออกจากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดต่างๆ อย่างเด็ดขาด
สิ่งที่หมอนิธิพัฒน์เสนอมีมูลเหตุมาจาก เพราะว่ายอดผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ไม่ลดลง แต่มีแนวโน้มจะเพิ่มจำนวนเป็นเลขสี่หลักในอนาคต มีอัตราการตรวจพบเชื้อในการตรวจเชิงรุกพบว่าพบผู้ป่วยรายใหม่มีจำนวนกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับพบว่าโรงพยาบาลต่างๆ ไม่ยอมตรวจหาเชื้อนี้ให้กับผู้ที่ต้องการไปรับการตรวจ เนื่องจากโรงพยาบาลไม่มีเตียงรับผู้ป่วยได้อีกต่อไป หากตรวจแล้วพบว่ามีการติดเชื้อเพิ่ม ในระยะหลังพบว่ามีผู้ป่วยในกลุ่มเด็กมากกว่าเดิม ซึ่งแสดงว่าโรคได้ระบาดเข้าไปในครอบครัวและชุมชน แต่ยังโชคดีที่กลุ่มผู้ป่วยใหม่นี้มีอาการไม่รุนแรง แต่ก็มีปัญหาเรื่องเตียงสำหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยสำหรับผู้มีอายุน้อย แล้วยังพบว่าผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรังป่วยด้วยโรคโควิด-19 มากขึ้น ซึ่งแสดงว่าโรคนี้แพร่กระจายเข้าไปในครอบครัวและชุมชนแล้ว ส่งผลให้การใช้เตียงรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลหลักไม่เพียงพอ และยังพบว่ามีผู้ป่วยอาการรุนแรง และผู้ป่วยที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจมากขึ้น และพบว่ามีผู้เสียชีวิตเพราะโรคนี้มากขึ้น แต่ปัญหาสำคัญคือขณะนี้ในโรงพยาบาลเกือบทุกแห่งไม่สามารถเพิ่มจำนวนเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยโรคนี้ได้อีกต่อไป และยังมีปัญหากำลังของแพทย์และพยาบาลในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคนี้ด้วย ซึ่งก็คือมีกำลังแพทย์และพยาบาลไม่เพียงพอกับการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ดังนั้นหากปล่อยให้มีจำนวนผู้ป่วยใหม่จำนวนมากที่ต้องเข้าไปรับการรักษาในโรงพยาบาลหลัก ก็หมายความว่าผู้ป่วยด้วยโรคอื่นๆ ก็จะต้องถูกนำตัวไปรักษาในพื้นที่ทั่วไป แล้วนำพื้นที่เดิมไปรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จะส่งผลให้ผู้ป่วยอื่นไม่ได้รับการรักษาพยาบาลตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ คือมาตรฐานการรักษาต่ำกว่าเดิม ซึ่งจะส่งผลกระทบด้านลบต่อผู้ป่วยทั้งที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19 และป่วยด้วยโรคอื่นอีกทั้งยังประสบปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนอุปกรณ์การแพทย์สำหรับรักษาพยาบาลด้วย ซึ่งสุดท้ายจะส่งผลเสียให้ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อภายในโรงพยาบาล ดังนั้นหมอนิธิพัฒน์จึงเสนอให้ lock down กรุงเทพฯ อย่างน้อย 7 วัน และห้ามคนเดินทางออกนอกกรุงเทพฯอย่างเด็ดขาด
ส่วนนายกรัฐมนตรียืนยันไม่ประกาศ lock down กรุงเทพฯ แต่สั่งให้ปิดเฉพาะจุดเท่านั้น เช่น แคมป์คนงานก่อสร้าง และบริเวณคลัสเตอร์ที่เกิดโรคระบาด รวมถึงในเขตปริมณฑล และเขตสี่จังหวัดภาคใต้ที่มีปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันต่อสู้กับปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 โดยขอเวลาหนึ่งเดือน พร้อมไม่ประกาศปิดโรงงาน แต่ขอให้ใช้มาตรการ bubble and seal ส่วนโรงงานใดที่มีการระบาดของโรคหนักแล้วไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ก็ต้องปิดโรงงานไปก่อน
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีบอกว่ารับทราบและรู้ดีว่าทุกวันนี้ยังมีปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในระดับที่สูง ซึ่งรัฐบาลก็พยายามแก้ปัญหาตลอดเวลา เช่นการตรวจหาเชื้อเชิงรุก การหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 การฉีดวัคซีนให้ตรงกลุ่มเป้าหมายและสอดคล้องกับสถานการณ์จริง โดยประกาศย้ำว่าในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมปีนี้จะต้องฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเสี่ยงทั้ง 7 โรคให้ครบทุกคนที่ได้ลงทะเบียนไว้แล้ว และสั่งให้ปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และในเขตสี่จังหวัดภาคใต้ คือ สงขลา นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ที่มีปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อโรคนี้ และสั่งการให้กระทรวงแรงงานจ่ายเงินชดเชยดูแลเยียวยาแรงงานทุกคนทั้งไทยและต่างด้าวที่ได้รับผลกระทบจากการสั่งหยุดการทำงานชั่วคราว โดยจะทดลองแก้ปัญหานี้ในกำหนดหนึ่งเดือน
นายกรัฐมนตรีไม่ประกาศ lock down และไม่ประกาศcurfew และไม่สั่งห้ามออกนอกเคหสถาน แต่จะประกาศมาตรการเฉพาะในแต่ละพื้นที่ตามความเหมาะสม โดยจะประกาศในวันจันทร์ที่ 28 มิถุนายนนี้ พร้อมขอร้องให้จำกัดการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามจังหวัด และขอความร่วมมืองดเดินทาง
สำหรับเรื่องการขาดแคลนเตียงผู้ป่วยโรคโควิด-19นั้น กำลังหาทางเพิ่มเตียงโดยเร็ว โดยเฉพาะผู้ป่วย ICU อีกจำนวน100 เตียง แต่ยอมรับว่ามีปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ในระยะนี้ แต่ก็พร้อมจะพิจารณานำผู้สำเร็จการศึกษาด้านแพทย์และพยาบาลที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาใหม่เข้าสู่ระบบทันที และรัฐบาลพยายามหาเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ อย่างเร่งด่วน พร้อมกับเน้นย้ำว่าต้องเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ประชาชนให้มากที่สุดและเร็วที่สุด เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อให้มากที่สุด
คุณผู้อ่านคอลัมน์ในวันนี้จะพบว่า วันนี้ผู้เขียนไม่พยายามจะเสนอแนวความคิดใดๆ ของผู้เขียน แต่เน้นการนำเสนอความคิดของคุณหมอกับแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีมาให้คุณได้ช่วยกันขบคิดพิจารณา เพราะต้องการให้คุณๆ ช่วยกันตอบตัวเองว่า คุณแต่ละคนจะมีแนวทางป้องกันการแพร่กระจายโควิด-19 ในสังคมไทยได้อย่างไรบ้าง
ผู้เขียนพยายามจะเชื่อว่าทั้งรัฐบาลและคุณหมอต่างก็ต้องการให้สังคมไทยรอดพ้นจากวิกฤติโควิด-19 ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่สิ่งที่จำเป็นต้องพูดถึงมากที่สุดก็คือ เป็นหน้าที่หลักของรัฐบาลในการกำจัดและขจัดโรคนี้ให้หมดไปจากสังคมไทย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของประชาชนทุกคน เพราะต่อให้คนไทยทุกคนได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราทุกคนจะไม่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 อีกต่อไป หากเราไม่ดูแล ไม่ระวังไม่รักษาตัวเองให้พ้นจากภัยของโควิด-19
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี