เวลาเราพูดเรื่องประชาธิปไตย ก็มักจะโยงกับเรื่องการเมืองการปกครองโดยอัตโนมัติ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่การจะนำเอาเรื่องประชาธิปไตยไปเกี่ยวโยงกับการบริหารจัดการองค์การทางด้านธุรกิจและองค์กรทางด้านวิชาการแล้ว ถือได้เป็นเรื่องค่อนข้างแปลกใหม่ หรือไม่เป็นที่คุ้นเคยกัน เพราะจากองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ได้ยินได้ฟังกันมาโดยทั่วไป จะเป็นบริษัท หรือจะเป็นโรงงาน ห้างร้าน หรือแม้กระทั่งสถาบันการศึกษา เราก็จะรู้ว่าโครงสร้างการบริหารจัดการนั้น มักจะมีคณะกรรมการบริหาร คณะกรรมการกำกับดูแล ผู้บริหารระดับต่างๆ และมีที่ประชุมผู้ถือหุ้นอยู่แล้ว เป็นต้น
ทั้งหมดนี้มักจะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการและการตัดสินใจต่างๆ โดยผู้เป็นเจ้าของ ผู้ถือหุ้น ผู้บริหารจัดการ และคณะกรรมการบริหารกำกับดูแลเป็นหลัก โดยจะไม่ค่อยมีข่าวคราวเกี่ยวกับบทบาทร่วม ของบรรดาลูกจ้าง พนักงาน และแรงงานโดยทั่วไปมาเกี่ยวข้อง เท่ากับว่าบรรดาลูกจ้างทั้งหลายต่างไม่ได้มีสุ้มเสียงในการบริหารจัดการและร่วมตัดสินใจในทิศทางและความเป็นไปขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นไปในระดับบริษัท หรือโรงงาน หรือแม้กระทั่งในระดับโรงเรียน และมหาวิทยาลัย ซึ่งการตัดสินใจทั้งหมดมักจะกระจุกอยู่ที่ตัวผู้จัดการ ผู้อำนวยการ อธิการ เป็นหลัก โดยอาจจะมีประธานคณะกรรมการ หรือนายกสภาร่วมกับคณะกรรมการเป็นผู้ตัดสินใจในนโยบายและมอบหมายหรือกำกับดูแลทิศทางเกี่ยวกับความเป็นไปขององค์กรนั้นๆ เข้ามาร่วมด้วย
แต่เมื่อประมาณร่วมๆ 100 ปีที่ผ่านมา ระดับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ คณะกรรมการบริหารจัดการและหรือในคณะกรรมการกำกับดูแล ได้เริ่ม
เปิดโอกาสให้บรรดาลูกจ้างต่างๆ สามารถลงคะแนนเสียงเลือกผู้แทนสัก 2-3 คน เข้าไปนั่งอยู่ในคณะกรรมการบริหารจัดการ หรือคณะกรรมการนโยบายกำกับดูแลได้ โดยมีคะแนนเสียงคนละ 1 เสียง เท่ากับกรรมการอื่นๆ ที่เป็นตัวแทนของเจ้าของ ผู้ถือหุ้น หรือแม้กระทั่งตัวแทนของธนาคารผู้ให้กู้ยืม และยังได้ขยายไปสู่บริษัท และโรงงาน รวมทั้งแพร่ขยายไปทั่วยุโรป และอเมริกาเหนือ ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2โดยเฉพาะประเทศที่มีการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และมีการดำเนินชีวิต เศรษฐกิจการค้าในระบอบทุนนิยมการตลาด
การณ์นี้ ได้มีการบัญญัติศัพท์เป็นภาษาอังกฤษขึ้นว่า Co-Determination แปลว่า หลักการว่าด้วยการร่วมกันกำหนดหรือตัดสินใจ เป็นการให้เกียรติ และตระหนัก และเคารพในบทบาทอันมีค่าและสูงส่งของฝ่ายลูกจ้าง และการตระหนักยอมรับว่าผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างนั้นอยู่ในองค์กรเดียวกันและมีอนาคตร่วมกัน จำต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และต้องให้เกียรติต่อกันและกัน
หลักการว่าด้วยการร่วมกันกำหนดหรือตัดสินใจนั้น สะท้อนซึ่งการมีส่วนร่วมของผู้คนส่วนใหญ่ ซึ่งได้แก่ ลูกจ้างในองค์กรหนึ่งใด และเป็นการแสดงออกซึ่งความเป็นประชาธิปไตยขององค์กรนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัท หรือโรงงาน ห้างร้าน หรือจะเป็นสถาบันศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยหนึ่งใดก็ตาม
เรื่องนี้เข้าใจว่าในประเทศไทยนั้นยังไม่ได้มีการปฏิบัติในแวดวงธุรกิจหลักๆ ในแวดวงธนาคารพาณิชย์ ในแวดวงรัฐวิสาหกิจ และบริษัทมหาชน และแวดวงวิชาการระดับสูง อีกทั้งก็ยังไม่ได้มีวิชาการเรียนการสอน ว่าด้วยการบริหารจัดการองค์กรภาคธุรกิจและวิชาการที่มีความเป็นประชาธิปไตยอันได้แก่ การมีส่วนร่วม มีสุ้มมีเสียงในการตัดสินใจของฝ่ายบุคลากรข้างมากที่เป็นลูกจ้าง พนักงาน หรือแรงงาน ทั้งๆ ที่ประเทศไทยก็ได้เพียรพยายามที่จะเป็นสังคมประชาธิปไตย และดำรงชีวิตอยู่กับระบบทุนนิยมที่เอกชนเป็นตัวตั้ง เป็นหัวหาด และตัวขับเคลื่อนแต่การกระจุกตัวขององค์กรภาคเอกชนอยู่ที่กลุ่มเจ้าของกลุ่มผู้ถือหุ้น กลุ่มผู้บริหารจัดการ เพียงแค่กระหยิบมือเดียว โดยไม่คำนึงถึงคนส่วนใหญ่ที่เป็นบุคลากร เป็นลูกจ้างหรือพนักงานขององค์กรธุรกิจ
ก็เท่ากับว่าความเป็นประชาธิปไตยยังไม่เคลื่อนมาถึงแวดวงธุรกิจและวิชาการ แต่ก็เป็นเรื่องที่พึงควร และมีความจำเป็น มิใช่เพียงเพื่ออยู่ร่วมกันในกรอบความเป็นประชาธิปไตย แต่อำนวยให้องค์กรนั้นๆ มีความสมัครสมานสามัคคี และมีความยั่งยืนอีกด้วย
ตัวเลขโดยทั่วๆ ไปว่า ควรจะเริ่มการนำเอาหลักการว่าด้วยการร่วมกำหนดและตัดสินใจนั้น ควรจะเริ่มที่องค์กรใหญ่-เล็กขนาดไหน ซึ่งตัวเลขที่ได้ศึกษามาก็คงจะเริ่มได้ที่ 2,000 คน เรื่องนี้จะออกเป็นกฎหมายก็ได้ซึ่งต้องใช้เวลา แต่ถ้าสมาคมธุรกิจ องค์กรวิชาชีพต่างๆ ไปจนถึงสภามหาวิทยาลัย ก็สามารถที่จะเปิดทางให้บุคลากรส่วนใหญ่ระดับล่างสามารถลงคะแนนเลือกผู้แทนของตนเอง ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพนักงานขององค์กรนั้นๆ แต่จะเลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ จากข้างนอกองค์กรของตนก็ได้
ก็ขอฝากผู้อ่านบทความนี้ช่วยกันกระจายข่าวบอกเล่ากันไปด้วยครับ ประชาธิปไตยของเราก็จะได้ไม่กระจุกตัวสาละวนอยู่ที่สถาบันพรรคการเมืองกันเท่านั้น หากแต่ควรจะได้แพร่หลายไปยังทุกภาคส่วนโดยทั่วกัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี