เมื่อครั้งที่ตัวผมเองยังเยาว์วัย ผมก็มีความคิด ความเชื่อ ที่ว่า ผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศไทยนั้นจะต้องมียศนายพลทหารเท่านั้น พอเติบโตขึ้นมาหน่อย ผมก็ได้เริ่มสัมผัสกับการปราศรัยหาเสียงของบรรดานักการเมืองจากพรรคการเมืองต่างๆ จึงได้เข้าใจว่าพลเรือนก็สามารถเป็นผู้บริหารประเทศได้ และเมื่อโตขึ้นมาอีกนิดหนึ่งก็เริ่มเห็นการขับเคี่ยวทางการเมืองระหว่างฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหาร รวมทั้งเมื่อได้อ่านบทความของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในหนังสือพิมพ์รายวันสยามรัฐ ก็ส่งผลให้ผมเริ่มสนอกสนใจเกี่ยวกับการบ้านการเมือง และได้รับความหรรษาจากเรื่องราวของตระกูลการเมืองต่างๆ คู่ขนานกันไปก็เริ่มตระหนักรู้เกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ และการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งขณะนั้น คอมมิวนิสต์หมายถึงการถอนรากถอนโคนโครงสร้าง ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมให้หมดสิ้นไปจากสังคม เพื่อนำเอาความคิดเห็นและวิธีการปฏิบัติของการบริหารบ้านเมืองใหม่แบบพรรคเดียวเผด็จการเข้ามาทดแทน อีกทั้งก็ได้รับรู้เกี่ยวกับสงครามอุดมการณ์ระหว่างโลกเสรี กับโลกคอมมิวนิสต์ที่คาบสมุทรเกาหลี เพราะมีญาติคนหนึ่งซึ่งเป็นทหารเรือชั้นผู้น้อยไปร่วมในสงครามกับเขาด้วย
จนกระทั่งเริ่มมีการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่จับอาวุธในป่าดงพงไพรขึ้นต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล(ที่มักจะเป็นรัฐบาลทหาร) พร้อมกับการเคลื่อนไหวแบบใต้ดินในตัวเมืองต่างๆ และในตัวกรุงเทพมหานคร เมืองหลวง โดยระยะหลังๆ ก็เป็นการขับเคลื่อนเพื่อให้ได้มาซึ่งสังคมประชาธิปไตย ด้วยการต่อต้านรัฐบาลทหารนำพา ซึ่งก็ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาจนถึงทุกวันนี้
ประเด็นคำถามก็คือ สังคมไทยต้องการจะคงอยู่กับระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีข้อจำกัดและเพื่อตอบสนองผลประโยชน์และความนึกคิดของพวกอนุรักษ์นิยม รวมทั้งแวดวงทางฝั่งกองทัพด้วย? หรือจะให้สังคมไทยมีการเปิดกว้างอย่างแท้จริง เพื่ออำนวยให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยที่เสรี และประชาชนพลเมืองเป็นเจ้าของประเทศและเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เหมือนกับสังคมประชาธิปไตยในมิตรประเทศทั้งใกล้และไกล ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยในกรอบราชอาณาจักรหรือในกรอบสาธารณรัฐ เช่นที่ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร นอร์เวย์ สวีเดน เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ซึ่งต่างเป็นราชอาณาจักร หรือที่สหรัฐอเมริกา แคนาดา เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ที่เป็นสาธารณรัฐ?
ผมมีความคิดเห็น และมีความเชื่อว่าโดยพื้นฐานแล้ว ราชอาณาจักรไทยของเรา เป็นเสรีประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์แบบได้ กล่าวคือ เราสามารถที่จะมีความเป็นสากล เทียบเท่า และไม่ด้อยไปกว่าประเทศอื่นๆ ดังกล่าว
นั่นก็เพราะชาวไทยมีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ในสายเลือด คือ “รักความเป็นไท” อิสรเสรี ควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม ดังจะเห็นได้จาก งานบุญ งานทาน งานกสิกรรม ต่างเป็นเรื่องของ “การร่วมช่วยกัน” คนละไม้คนละมือ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม บ่งบอกความสมัครสมานสามัคคี และการมีใจและเคารพต่อผู้อื่น
ในขณะเดียวกัน ชาวไทยก็มิห่างวัดวาอาราม โบสถ์คริสต์ หรือสุเหร่ามุสลิม จัดได้ว่า มีธรรมะอยู่ในใจ ยึดมั่นในศีลและธรรม มีขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของการให้เกียรติ เคารพนับถือผู้หลักผู้ใหญ่ และผู้นำของศาสนา และในขณะเดียวกัน ผู้หลักผู้ใหญ่ก็เป็นแบบอย่าง เป็นที่ยึดถือให้กับผู้น้อย และตั้งแต่สมัยสุโขทัย ไทยเราก็มีประเพณีของการเข้าถึงซึ่งผู้ปกครองโดยตรง ดังพิธีการของการสั่นกระดิ่งหน้าประตูบ้านของผู้ปกครอง เพื่อจะได้นำความมาร้องเรียน เสนอแนะ ขอคำตัดสินใจ เพื่อแก้ไขปัญหาและนำพาสังคมให้มีความยุติธรรม
ในทฤษฎีการเมือง ไทยเราก็มีหลักทศพิธราชธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง และพระมหากษัตริย์เมื่อทรงขึ้นครองราชย์ก็ทรงมีพระราชดำรัสว่า “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม”
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงบัดนี้ สังคมไทยได้เห็นและต้องปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมากว่า 10 ฉบับ แต่ความเป็นประชาธิปไตยของไทยก็คืบหน้าไปอย่างไม่มั่นคง สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะเราไปเอาความคิด และวิธีการปฏิบัติของฝ่ายยุโรปเข้ามาใช้กับสังคมไทยแบบทั้งดุ้น โดยมิได้มีการผสมผสานระหว่างหลักคิดของชาวตะวันตก กับหลักคิดของฝ่ายไทยอย่างเพียงพอลึกซึ้ง
ในการนี้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังจะยกร่างกันนั้น ผมก็มีข้อเสนอเพื่อบรรจุไว้ในอารัมภบทโดยสังเขป ดังนี้คือ
1.ราชอาณาจักรไทยจะเป็นแผ่นดินแห่งธรรม และหลักธรรมจะเป็นตัวกำกับและกรอบให้กับประชาชนพลเมืองไทยทุกหมู่เหล่า และหลักธรรมนี้มิได้อิงศาสนาหนึ่งใดแต่ทุกศาสนาก็สั่งสอนเรื่องการดำรงตนที่ดีงาม และไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น และทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อส่วนรวม
2.ราชอาณาจักรไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขเป็นศูนย์รวมจิตใจและความดีงาม เป็นผู้วินิจฉัยขั้นสุดท้ายเมื่อบ้านเมืองอยู่ในสภาวะคับขัน แล้วจะมีผู้ใดละเมิดมิได้ ส่วนพระราชกรณียกิจขององค์พระมหากษัตริย์ก็จะประกอบด้วยงานราชการรัฐ งานราชพิธีทางด้านประเพณีวัฒนธรรม และงานส่วนพระองค์ เป็นต้น
3.โดยที่สังคมประชาธิปไตยมีการเปลี่ยนแปลงสืบเนื่องมาจากปัจจัยภายในและภายนอก และฉะนั้นก็ต้องมีขีดความสามารถในการปรับปรุงแก้ไขตนเอง ซึ่งการมีส่วนร่วมของประชาชนพลเมืองเป็นหัวใจของเรื่อง และฉะนั้นประชาชนพลเมืองก็ต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของภาครัฐ แล้วจะต้องมีองค์ความรู้ที่ทันเหตุการณ์ ซึ่งจะกระทำได้ดีขึ้น ก็จะด้วยการได้รับการศึกษาเรื่องสิทธิและหน้าที่พลเมือง แล้วความรู้เกี่ยวกับการเมืองและกิจการบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลา
4.ชาวกรุงเทพมหานครกลับมีสิทธิ และหน้าที่เหนือกว่าชาวต่างจังหวัดใน 76 จังหวัด ชาวกรุงเทพฯ มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ ในขณะที่ชาวต่างจังหวัดที่เหลือทั้งหมดไม่มีสิทธิ์เพราะฉะนั้นเพื่อเสริมสร้างความทัดเทียมเสมอภาคและกระจายการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย และการกระจายอำนาจให้ทั่วถึงทั้งประเทศ ทุกจังหวัดก็จะต้องมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ และมีการแบ่งแยกภาระหน้าที่ระหว่างรัฐบาลกลาง กับรัฐบาลท้องถิ่นให้แน่ชัด (ฝ่ายไทยเราอาจศึกษาเปรียบเทียบกับราชอาณาจักรญี่ปุ่นได้)
5.เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะทางด้านขนส่ง สัญจรไป-มา และการโทรคมนาคม ไปจนถึงเครือข่ายสาธารณูปโภคต่างๆ จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนระยะยาว และมีแผนปฏิบัติการที่สอดคล้อง ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล และใช้เวลาติดต่อกันหลายๆ ปี และฉะนั้นการย่อยโครงการ หรือการกระจายโครงการหนึ่งใดเพื่อตอบสนองงบประมาณประจำปี จึงไม่สมเหตุสมผล และทำให้การบริการของภาครัฐด้อยประสิทธิภาพ ดังนั้นจำจะต้องมีแผนแม่บท แล้วก็ต้องมีหน่วยงานกลางปฏิบัติที่ถาวร ต่อเนื่อง มีความเป็นอิสระและคล่องตัวในการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่ถูกกระทบกระเทือนด้วยการเปลี่ยนแปลงของคณะรัฐบาล และการใช้อำนาจของคณะรัฐบาลเข้ามาปรับเปลี่ยนแผนและปรับเปลี่ยนบุคลากร (ประเทศที่น่าจะเป็นตัวอย่างได้ก็คือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่มีแผนแม่บทว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำระดับชาติ และหน่วยงานประจำแบบถาวร ได้รับงบประมาณจากรัฐสภาครั้งละระยะเวลา 5 ปี โดยไม่ถูกแทรกแซงจนกระทบกระเทือนใดๆ จากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล)
6.ระบบการแข่งขันแบบทุนนิยม หรือตลาดเสรีนั้น ได้เห็นเป็นที่ประจักษ์กันทั่วโลกว่า ก่อให้เกิดการกระจุกตัวของการมั่งมีมั่งคั่ง อยู่ในกลุ่มคนน้อยนิด และกลุ่มผู้มั่งคั่งนี้ก็มักจะมีอิทธิพลทางการเมือง ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม อีกทั้งครอบครัวที่มีรายได้น้อยต้องกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา และเมื่อลูกหลานที่สำเร็จการศึกษาก็ต้องทำงานใช้หนี้ แต่ครอบครัวที่มีอันจะกิน ลูกหลานมีความสะดวกสบายในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ เป็นความไม่เสมอภาคอย่างยิ่ง อีกทั้งประเทศไทยมีระบบรักษาพยาบาลถึง3 ระบบ บ่งบอกความเหลื่อมล้ำ และเลือกปฏิบัติ
ฉะนั้นสังคมไทยจะต้องมุ่งไปในทิศทางของประเทศที่เป็นประชาธิปไตย แต่มีระบบความเสมอภาคทางด้านสังคมต่างๆ คือ การเรียนฟรี การรักษาพยาบาลฟรี การเข้าครอบครองที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพเหมาะสมในสนนราคาที่สอดคล้องกับรายได้ ไปจนถึงการจัดวางโครงสร้างการขนส่งมวลชนที่ทั่วถึงทั้งประเทศ ไม่ใช่เหลื่อมล้ำและแตกต่างกันมากระหว่างชาวกรุงเทพฯ ที่มีทางด่วนยกระดับ รถไฟใต้ดิน และรถไฟฟ้าบนอากาศ ขณะที่ชาวต่างจังหวัดก็ยังประสบปัญหากับการเดินทางและการขนส่งประจำวัน ดังที่ทราบกันดีอยู่ (ประเทศที่เราสามารถเรียนรู้และนำมาปรับได้ก็บรรดาประเทศในยุโรปตะวันตก และที่ใกล้ตัวเราก็คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสิงคโปร์)
ทั้งนี้ การส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาลระหว่างประเทศนั้น คงมิใช่การส่งเสริมโรงพยาบาลเอกชนเพื่อค้ากำไร หรือการอนุญาตให้โรงพยาบาลรัฐเปิดคลินิกพิเศษเพื่อหารายได้ แต่จะต้องมุ่งไปที่การเสริมสร้างความพร้อมของโรงพยาบาลกลางประจำจังหวัดทั่วประเทศ เป็นต้น คือต้องเอาเรื่องการรักษาพยาบาลของพลเมืองไทยเป็นตัวตั้งมิใช่การตอบสนองของผู้ป่วยจากต่างประเทศและผู้ป่วยไทยที่มีอันจะกิน
ก็ขอฝากบทความนี้ไว้เป็นการบ้านให้กับทุกท่าน โดยเฉพาะนักการเมือง และข้าราชการที่จะเป็นผู้บริหารประเทศไทยครับ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี