ทุกวันนี้หลายคนในบ้านเรา (ประเทศไทย) ยังคงตั้งคำถามกับการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ของรัฐบาลไทย คำถามที่ทุกคนถามคือ รัฐบาลไทยใช้งบประมาณจำนวนเท่าไรกับการซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อฉีดให้กับคนไทย
หลายคนเคยถามมาแล้วหลายครั้งว่า เมื่อไรคนไทยที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนนี้จะได้รับการฉีดจนครบสองเข็ม (สองโดส) อย่างไรก็ตาม คำถามนี้รัฐบาลคงไม่สามารถตอบชัดๆ ได้ ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าจะตอบได้ลำบากมาก เพราะรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ผลิตวัคซีนด้วยตัวเอง เนื่องจากต้องนำเข้าและต้องสั่งซื้อจากผู้ผลิตวัคซีน
แล้วยังมีคำถามสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ รัฐบาลกระจายวัคซีนตัวนี้อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมต่อประชาชนโดยไม่เลือกปฏิบัติหรือไม่ เหตุที่มีคำถามนี้ก็เพราะสาธารณชนจับได้ว่า คนบางกลุ่ม (ซึ่งไม่ได้มีความจำเป็นในอันดับต้นๆ ที่ต้องได้รับวัคซีน) ได้รับวัคซีนตัวนี้ก่อนบุคลากรทางการแพทย์ เรื่องดังกล่าวนี้ เป็นเรื่องที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยรู้ดี และรู้ด้วยว่าคนกลุ่มใดได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ก่อนคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้าที่ต้องเผชิญกับผู้ติดเชื้อและป่วยเพราะโรคโควิด-19 คนกลุ่มที่ไม่สมควรจะได้รับวัคซีนในช่วงแรกๆ ก็คือคนดังบางคนของสังคมไทย รวมถึงพวกที่ใช้เส้นสายด้วยความเป็นอภิสิทธิ์ชน และประชาชนจำนวนไม่น้อยยังรู้อีกว่า ที่ไหนนำวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปฉีดให้กับกลุ่มคน
ผู้ที่ยังไม่สมควรได้รับวัคซีนก่อนบุคลากรทางการแพทย์
สิ่งที่ประชาชนต้องการทราบคือ ทุกวันนี้รัฐบาลจ่ายค่าซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปแล้วเป็นเงินจำนวนเท่าไร เหตุที่ประชาชนต้องการทราบคือ เพื่อจะได้รู้ว่ารัฐบาลใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งก็คือเงินของประชาชนทุกคนไปสำหรับการนี้มากน้อยเท่าไร
เมื่อรัฐบาลไม่เคยตอบเรื่องนี้ให้กระจ่างใสชัดเจน ก็ทำให้เกิดเสียงโจษขานร่ำลือกันทั่วไปว่ารัฐบาลจ่ายเงินซื้อวัคซีนในราคาที่แพงกว่าความเป็นจริง จนมีคนสอนหนังสือบางคนในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเขียนในเฟซบุ๊คว่า แม้จะทราบดีว่าวัคซีนSinoVac ด้อยประสิทธิศักย์ (efficacy) ในการป้องกันและการติดและแพร่กระจายเชื้อ (โควิด-19) ไปยังผู้อื่น(อ้างอิงจากงานวิจัย ไม่ใช่การรับรองโดยแพทย์หรือผู้ทรงคุณวุฒิรายใด และล่าสุดจากทีมวอลเลย์บอลหญิงไทย) และหากจะเดินทางไกล ก็ต้องฉีด (วัคซีน)ตัวอื่นอีก เพราะหลายประเทศไทยรับรอง แต่เมื่อทางเลือกไม่มีอยู่จริง ก็คงต้องตัดสินใจสักวัน ด้วยเหตุผลคือ ถ้ารับเชื้อจะลดความรุนแรงของอาการ แต่หากไม่ฉีด SinoVac ก็ไม่รู้ว่าวัคซีนตัวอื่นจะมาเมื่อไร และเมื่อขุดค้นความคิดของตัวเองลึกที่สุดก็พบว่า เหตุผลเฉพาะตัวที่ไม่อยากฉีดคือ ไม่ต้องการจำนนต่อการที่รัฐบาลเอาภาษีประชาชนไปซื้อวัคซีนคุณภาพต่ำ แต่ราคาสูง
ในเฟซบุ๊คยังอ้างด้วยว่า เมื่อเทียบราคาวัคซีนจากสื่อมวลชนต่างๆ ที่นำเสนอ พบว่าเราต้องจ่ายค่าวัคซีน SinoVac พอๆ หรืออาจแพงกว่าวัคซีนคุณภาพสูงชนิดอื่นๆ
ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลเคยชินกับการเอาของราคาถูก (แต่ซื้อหามาในราคาแพง ด้วยกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ) มาให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง มีรายได้น้อย ซึ่งพวกเขาไม่มีทางเลือกและขัดสนช่องทางแสดงออก
แต่ครั้งนี้เป็นวัคซีนเพื่อประชาชนทั้งประเทศหากเราไม่ร่วมกันส่งเสียง รัฐบาลก็จะได้ใจ และทำแบบนี้ต่อๆ ไปในอนาคต
หากรัฐบาลจะแก้ต่างว่า SinoVac เป็นเพียงวัคซีนเสริม ในยามที่วัคซีนอื่นยังไม่มี ก็ต้องมีคำอธิบายว่าที่ผ่านมาปีกว่าๆ เหตุใดรัฐบาลจึงไม่วางแผนจัดหาวัคซีนที่หลากหลาย เราเสียเวลาอันมีค่าไปอย่างเปล่าประโยชน์ด้วยเหตุผลอันใด
นอกจากรัฐบาลไม่เคยมีคำอธิบายถึงกระบวนการจัดหาวัคซีนที่มีราคาแพงแล้ว มาตรการกระจายวัคซีนก็ขาดประสิทธิภาพ ขณะที่รณรงค์ให้คนไปฉีดวัคซีน แต่เมื่อประชาชนไปถึงที่แล้ว กลับไม่ได้ฉีด ต้องกลับบ้านไปโดยเสียเวลาเดินทาง ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่อง Apps ที่ไม่เคยพร้อม และประชาชนแพ้ตลอด
สิ่งสำคัญที่น่าสนใจซึ่งในเฟซบุ๊คดังกล่าวระบุคือ ถ้าหวังว่าสังคมไทยจะเติบโตเป็นสังคมที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์และปัญญา หลังจากภาวะวิกฤติโรคระบาดทั่วโลกครั้งนี้ ขอให้หยุดเถอะ เรื่องการรณรงค์ว่า วัคซีนที่ดีที่สุด คือวัคซีนที่ได้ฉีดเร็วที่สุด เพราะมันเป็นอาวุธปิดปากการวิพากษ์วิจารณ์คุณภาพและราคาของวัคซีน ซึ่งเท่ากับพวกคุณเมินเฉยการตรวจสอบรัฐบาล ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องให้บริการสาธารณสุขกับประชาชน
ทั้งนี้ มาตรา 47 ในรัฐธรรมนูญระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ รายนี้ทิ้งท้ายข้อความในเฟซบุ๊คอย่างน่าสนใจว่า สำหรับดิฉัน วัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่มีคุณภาพสอดคล้องกับราคา และต้องถูกจัดหามาด้วยกระบวนการที่โปร่งใส แต่ถูกกระจายไปถึงประชาชนอย่างรวดเร็วทั่วถึง เท่าเทียม
พร้อมกับสรุปทิ้งท้ายว่า รัฐบาลล้มเหลวในภารกิจนี้
นี่คือความเห็นของคนสอนหนังสือคนหนึ่งจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งน่ารับฟังเป็นอย่างยิ่ง ส่วนฟังแล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ขึ้นกับดุลพินิจของปัจเจก
แต่สิ่งหนึ่งที่สังคมคาใจมากคือ ราคาวัคซีนที่รัฐบาลต้องจ่าย ทั้งนี้มีการเปรียบเทียบว่า ราคาวัคซีนสองชนิดคือ SinoVac กับ AstraZeneca ต่างกันคือ AZ ราคาประมาณ 160 บาทต่อโดส ในขณะที่ SinoVac ราคาประมาณ 570 บาท
จะอย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าประชาชนต้องการเห็นความโปร่งใสของรัฐบาลในการบริหารประเทศ แม้หลายคนอาจจะทำใจยอมรับว่ารัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างดีเยี่ยม เพราะรัฐบาลยังไม่สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาสำคัญได้อย่างทันท่วงที ส่วนที่มีคำวิจารณ์ว่ารัฐบาลไม่ใช่มืออาชีพ ก็คงต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป เพราะการมีรัฐบาล ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นทหาร แล้วจะให้ทหารปกครองประเทศแบบนักกฎหมาย นักธุรกิจ หรือนักการเงินการธนาคาร ก็คงเป็นเรื่องยาก เพราะทหารก็ถนัดเพียงการทหาร จะให้ทำอะไรมากกว่านั้นก็เป็นเรื่องยากมาก
แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องทำเป็นอันดับแรกคือ ความโปร่งใส ความสุจริต เพราะนี่คือหลักสำคัญที่สุดที่จะทำให้ประชาชนไว้วางใจ และให้ความศรัทธา
คำถามทิ้งท้ายคือเมื่อไรรัฐบาลจะพูดความจริงเรื่องสถานการณ์โควิด-19 ให้หมดเปลือก เพื่อให้ประชาชนคลายความสงสัย และไม่มีคำถามใดๆ ในเรื่องนี้กับรัฐบาลอีก ประชาชนรู้ดีว่ารัฐบาลไม่เก่งในทุกเรื่อง แต่ก็อาจจะเก่งในบางเรื่อง ซึ่งก็คงไม่มีใครเก่งไปเสียทุกเรื่องแม้ประชาชนจะฝันจะเพ้อให้รัฐบาลเก่งในทุกเรื่องก็ตาม ซึ่งก็ไม่มีวันเป็นความจริงได้ แต่สิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องมีคือความโปร่งใส ความขาวสะอาด และมีธรรมาภิบาล
เมื่อรัฐบาลบริหารประเทศด้วยความโปร่งใส ขาวสะอาด ประชาชนจะเป็นตัวหนุนหลังให้รัฐบาลอย่างเข้มแข็ง แม้จะรู้ว่ารัฐบาลไม่เก่ง แต่ประชาชนก็ยังรับได้ เพียงแค่ขอให้รัฐบาลมีความขาวสะอาด และโปร่งใสเท่านั้นพอ เพียงเท่านั้นประชาชนก็จะเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลตลอดไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี