ก่อนอื่นต้องบอก ณ ตรงนี้ว่า ผู้ที่ดีแต่พูด โดยไม่เคยลงมือทำ คือคนน่ารังเกียจ แต่ทว่าคนที่ดีแต่พูด แล้วไม่ลงมือทำ ก็ยังน่ารังเกียจน้อยกว่าคนที่ทำทุกครั้ง แล้วตั้งใจโกงกินทุกครั้ง เพราะคนชนิดหลังนี้นอกจากน่ารังเกียจแล้ว ยังทำให้บ้านเมืองพินาศบรรลัย ซึ่งนับว่าน่ารังเกียจที่สุดในโลก
หลายคนที่รักรัฐบาลชุดปัจจุบันมักจะตอบโต้และดิสเครดิตคนที่วิพากษ์วิจารณ์หรือโจมตีรัฐบาลว่า เป็นพวกดีแต่พูด แต่ก็ต้องบอกว่าการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนั้นเป็นสิทธิของประชาชน หากกระทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เพื่อให้ชาติบ้านเมืองและสาธารณชนได้รับผลดีกว่าเดิม แต่หากวิจารณ์แบบผีเจาะปาก พล่ามไปเรื่อย ก็สมควรโดนประณาม
ประเด็นหนึ่งที่สาธารณชนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือแก้ปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19
ล้มเหลวไม่เป็นท่า จนเข้าข่ายไร้ความสามารถ
ความจริงเชิงประจักษ์คือ บัดนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้ววันละเป็นจำนวนนับหมื่นคน (นี่คือผลรายงานการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากการที่ยังไม่ได้ตรวจหาเชิงรุก แต่ถ้ามีการตรวจเชิงรุก โดยกระทำกับคนทั้งประเทศ รับรองว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่านี้อย่างแน่นอน) หลายคนไม่เชื่อถือตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพราะโควิด-19 ที่รายงานโดย ศบค. ในแต่ละวัน โดยให้ความเห็นว่าไม่ได้รายงานตามข้อเท็จจริง แต่นั่นก็คือความเชื่อของประชาชนบางกลุ่ม ซึ่งยังไม่สามารถหาข้อพิสูจน์มาหักล้างตัวเลขของ ศบค. ได้ แต่ก็ไม่มีใครสามารถห้ามความเชื่อและความคิดของประชาชนได้ จนกว่าประชาชนจะมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ารัฐบาลบอกข้อเท็จจริงทุกประการกับสาธารณชน
ย้อนหลังไปเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 ศบค. ได้ประกาศให้จำกัดการเดินทาง (ไม่อยากเรียกว่า lock down แต่มันก็ไม่ค่อยจะต่างจาก lock down มากนัก) ในพื้นที่กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร และสี่จังหวัดในภาคใต้ คือสงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งตรงกับวันเดียวกันที่ ศบค. ประกาศว่าประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 9,276 คน
การประกาศขอความร่วมมือให้ประชาชนไม่เดินทางข้ามจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีแดงเข้มทั้งหกแห่ง ถูกมองว่าคือการสั่ง lock down โดยจะมีผลบังคับในวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 เป็นเวลา 14 วัน
คำถามที่ตามมาคือ คำสั่งนี้จะทำให้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยลดลงหรือไม่ และจะช่วยลดจำนวนคนตายเพราะเชื้อโควิด-19 ได้หรือไม่
ขอย้ำว่า ศบค. ต้องการให้ประชาชนจำกัดการเคลื่อนย้าย การเดินทาง การรวมกลุ่มของบุคคลจำนวนมากกว่า 5 คน รวมถึงกำหนดเวลาออกจากบ้านหรือที่พักอาศัย ตั้งแต่เวลาสามทุ่มถึงตีสี่ (ขอความกรุณาไม่ออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น) และขอให้ข้าราชการและพนักงานบริษัทเอกชน Work from Home ให้มากที่สุด พร้อมประกาศปิดสถานที่ซึ่งมีความเสี่ยงกับการแพร่กระจายโรค โดยออกคำสั่งให้ห้างสรรพสินค้าปิดบริการ แต่สามารถเปิดได้เฉพาะ supermarket และประกาศว่าจะเร่งมาตรการป้องกันโรคนี้ด้วยการระดมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อนำไปสู่การควบคุมโรค และจะให้การรักษาพยาบาล และให้การเยียวยากับกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากโรคนี้
มีคำถามว่า นี่คือการ lock down ใช่ไหม คำตอบคือ รัฐบาลบอกว่าไม่ใช่ แต่หากประชาชนจะคิดว่าใช่ ก็เป็นเรื่องของประชาชน แต่ย้ำว่ารัฐบาลบอกไม่ lock down
มีคำถามต่อว่า มาตรการล่าสุดที่รัฐบาลประกาศนี้จะช่วยให้สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคนี้ดีขึ้นไหม คำตอบคือ รัฐบาลไม่ยืนยันว่าผลจะออกมาในรูปใด แต่มั่นใจว่าน่าจะทำให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายไปกว่าเดิม
ดังนั้นที่ถามว่าเจ็บครั้งนี้แล้วจบไหม ก็ตอบเหมือนเดิมว่า ไม่มีใครยืนยันได้ว่าเจ็บครั้งนี้แล้วทุกอย่างจะจบ แต่หากใครรอไม่ได้ ทนไม่ไหว ก็อาจจะจบไปก่อน ก็คงไม่มีใครห้ามได้เช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปเข้าใจร่วมกันคือ เมื่อคนไม่ออกจากบ้าน ก็น่าจะช่วยทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 น้อยลง แต่ก็ไม่มีใครยืนยันอีกว่าอยู่บ้านแล้วไม่ติดเชื้อโควิด-19 เพราะหลายคนก็อ้างว่าไม่เคยไปไหนเลย แต่ก็ยังติดเชื้อมรณะตัวนี้ แถมบางคนยังอ้างอีกว่า ญาติของตนไม่เคยไปไหนเลยแต่สุดท้ายก็ตายเพราะโควิด-19 ในบ้าน ส่วนคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนมากที่ต้องการจะไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก็ยืนยันตรงกันว่าโรงพยาบาลเกือบทุกแห่งไม่รับตรวจหาเชื้อให้อีกต่อไป แล้วบอกให้ไปหาตรวจจากที่อื่นๆ เอาเอง (ฟังแล้ววังเวงมาก มากเสียจนอยากให้รัฐมนตรีทั้งคณะติดเชื้อโควิด-19 แล้วไม่มีที่รักษาโรค)
ส่วนเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจจะออกมาในรูปแบบใด ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องตามดูกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ คือ ปัจจุบันนี้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของไทยนับว่าย่ำแย่มาก ผู้คนตกงานเป็นจำนวนมาก กิจการห้างร้านต่างๆ ต้องปิดตัวลง แม้บางแห่งไม่ได้ประกาศปิดกิจการตามกฎหมาย แต่ก็ไม่จ่ายเงินเดือนค่าจ้างให้พนักงานมานานหลายเดือนแล้ว โดยบอกกับลูกจ้างคนงานว่าไม่มีงานให้ทำ ก็ไม่มีเงินเดือนจ่ายให้ หากลูกจ้างทนไม่ได้ ก็ต้องลาออกไปเอง หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องไปขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ซึ่งก็เป็นเรื่องยากมาก เพราะรัฐบาลก็คงไม่มีปัญญาช่วยได้ เพราะแค่เพียงการหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นด่านหน้าของการแก้ปัญหาโควิด-19 รัฐบาลยังไม่มีปัญญาหาได้เลย
เมื่อพูดถึงคนป่วยเพราะเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการป่วยแล้ว ก็เป็นเรื่องน่าหนักใจมาก เพราะคนป่วยเหล่านี้จำนวนมากไม่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากโรงพยาบาลไม่มีเตียงสำหรับรักษาอีกต่อไป ซึ่งบางแห่งอยู่ในห้วงเวลาว่าต้องตัดสินใจเลือกรักษาผู้ป่วยหรือไม่ ซึ่งเรื่องแบบนี้นับว่าเป็นความล้มเหลวของระบบสาธารณสุขไทย ซึ่งก็คือความล้มเหลวของรัฐบาลไทยนั่นเอง
คำถามต่อมาคือ หากมาตรการล่าสุดของรัฐบาลไม่ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลงอย่างมากอย่างมีนัยสำคัญ คือลดลงไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ จะเกิดอะไรตามมา การให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และผู้ป่วยอื่นๆ จะมีปัญหาหรือไม่ แล้วถึงวันนี้จริง คุณหมอต้องเลือกรักษาผู้ป่วยบางราย แล้วปล่อยให้บางรายต้องตายไป เพราะไม่สามารถช่วยเหลือได้ หรือไม่
ปัญหาต่อมาคือ หากสังคมไทยยังมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 อีกเป็นจำนวนมาก แต่เขาเหล่านั้นไม่สามารถหาที่ตรวจหาเชื้อได้ แล้วเขาเหล่านั้นก็ไม่แน่ใจว่าตนเองมีเชื้อหรือเปล่า จะออกไปทำงานก็ไม่แน่ใจว่าจะนำเชื้อไปแพร่กระจายหรือเปล่า ครั้นจะกักตัวอยู่กับบ้านหรือที่พักนานๆ ก็จะเผชิญปัญหาอดตาย คำถามคือรัฐบาลจะแก้ปัญหานี้อย่างไร หรือ จะบอกว่าก็ให้ดูแลตัวเองอยู่กับบ้านอย่างน้อย 14 วัน สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยง แต่คำถามเดิมคือแล้วจะเอาอะไรกิน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นลูกจ้างรายวัน หรือรายชั่วโมง
ผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19 ยังมีมากกว่านี้อีก เพราะยังไม่พูดถึงเรื่องการติดเชื้อในหมู่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา และยังไม่พูดถึงเรื่องเด็กนักเรียนจำนวนมิใช่น้อยต้องหลุดจากการระบบศึกษาไป เพราะพ่อแม่ตกงาน จึงไม่มีเงินชำระค่าการศึกษาให้กับลูก
อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยไม่สามารถแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้แต่จะสามารถกลับมาแก้ได้ในอนาคตหรือไม่ ก็ยังต้องตามดูกันต่อไป แต่ก็ต้องเอาใจช่วยรัฐบาลให้สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลต้องยอมรับคือ ปัจจุบันรัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหานี้ ส่วนจะเป็นเพราะเชื้อโควิด-19 มันรุนแรงเกินสติปัญญาและความสามารถของรัฐบาล หรือเป็นเพราะความตื้นเขินทางสติปัญญาของรัฐบาล เรื่องนี้ก็ต้องฝากทั้งรัฐบาลและประชาชนพิจารณากันเอง แต่ขอฝากทิ้งท้ายว่าการออกมาตรการนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาโควิด-19 ได้ หากไม่มีมาตรการสาธารณสุขที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะการที่ประชาชนไม่สามารถหาที่ตรวจหาเชื้อได้ แม้กระทั่งเรื่องที่รัฐบาลยังไม่มีปัญญาหาวัคซีนป้องกันโควิด-19ที่มีคุณภาพดีที่สุดให้กับประชาชนได้อย่างทันกาล และทันการณ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี