ณ วันนี้ ถือได้ว่า ปวงชนชาวไทยต่างมีความรู้เรื่องการเมือง และมีความตื่นตัวเรื่องการบ้านการเมืองเป็นอย่างมาก โดยดูได้จากการที่สังคมไทยมีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลกันอย่างกว้างขวาง ทั้งในระดับครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูง และในระดับสาขาอาชีพการงาน อันสืบเนื่องมาจากการได้มีส่วนร่วม และใกล้ชิดกับการเมืองในระดับท้องถิ่น การได้ข้องแวะและรับบริการช่วยเหลือจากบรรดามูลนิธิ องค์กรการกุศล และองค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ อีกทั้งมีการเคลื่อนไหวสัญจรไป-มา และข้องแวะกันทั่วประเทศ นอกเหนือจากการเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสารที่กว้างขวาง รวดเร็ว และมากมาย ด้วยระบบสารสนเทศ และการสื่อสารสมัยใหม่
ดังนั้น จะไปบอกว่าปวงชนชาวไทยไม่รู้เรื่องการเมือง และกล่าวหาว่าที่ประชาธิปไตยไม่ก้าวหน้าเพราะประชาชนชาวไทยยังไม่สันทัด และชำนิชำนาญการในเรื่องประชาธิปไตย คงทำไม่ได้อีกแล้ว
แล้วเช่นนั้นก็มีคำถามต่อว่า แล้วที่ประชาธิปไตยของไทยไม่ค่อยจะคืบหน้านั้น อุปสรรคและประเด็นปัญหามันอยู่ที่ไหนกันแน่?
ก็แน่นอนสังคมไทยดังเช่นสังคมอื่นทั่วๆ ไป ที่มักจะมีเครือข่ายเส้นสาย กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอภิสิทธิ์ชน กลุ่มวงศาคณาญาติ หรือนัยหนึ่งคือระบบอุปถัมภ์ที่เอื้อ อะลุ้มอล่วยต่อกันและกัน เพื่อหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์กติกา และเงื้อมมือของกฎหมายบ้านเมือง อีกทั้งสังคมไทยก็ยังมีปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือการหาประโยชน์เข้าตนและพรรคพวกจากอำนาจหน้าที่และเงินภาษีราษฎร ก่อให้เกิดความรั่วไหลและการพัฒนาไม่เป็นล่ำเป็นสันหรือดีเท่าที่ควร
ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลก เพราะทั้งๆ ที่ชีวิตประจำวัน หรือการสัญจรไป-มาของชาวไทยมักจะไม่ห่างจากวัดวาอาราม โบสถ์ สุเหร่า หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่สภาวะจิตใจของผู้คนกลับพากันตกต่ำ มากไปด้วยความมุ่งร้าย ความเห็นแก่ตัว และการเอาแต่ได้
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขกันได้ เมื่อผู้นำประเทศทั้งหลายเอาจริงเอาจังเข้มงวด และทำตัวเป็นแบบอย่าง พร้อมด้วยการปรับปรุงการศึกษา และฝึกอบรม ที่มิได้มุ่งแต่การรู้วิชาทางโลกเพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทางวัตถุ แต่ก็เป็นเรื่องของการฝึกอบรม ฝึกฝน สภาวะจิตใจให้ลดความคิดและพฤติกรรมที่เป็นอกุศลต่างๆ
ปัญหาที่แท้จริง และเป็นพื้นฐานของความไม่ก้าวหน้าอีกอย่างที่สำคัญยิ่ง ของความเป็นสังคมประชาธิปไตยของไทยในช่วง 90 ปีที่ผ่านมา ก็คือ ปัญหาว่าด้วยกฎเกณฑ์กติกาของโครงสร้าง และการใช้อำนาจของบ้านเมือง อันได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญ
กล่าวคือ เมื่อกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่มีความเป็นประชาธิปไตย หรือมีความเป็นประชาธิปไตยแบบจำกัดจำเขี่ย ประชาธิปไตยก็ถูกลบล้างและถูกรังแก เหตุที่ประชาธิปไตยไม่มาอย่างเต็มไม้เต็มมือ ก็เพราะว่าการขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับของไทย จัดได้ว่ามิได้เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาโดยทั่วๆ ไป เป็นการขีดเขียน วางกฎเกณฑ์ เพื่อสะท้อนความต้องการของกลุ่มอำนาจ หรือกลุ่มอภิสิทธิ์ชนหนึ่งใด แต่มิใช่กลุ่มประชาชนส่วนรวม ประชาชนพลเมืองจึงมีสิทธิและหน้าที่ที่จำกัด ไม่อำนวยให้ได้มีการมีส่วนร่วมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยในฐานะเจ้าของประเทศ และอำนาจอธิปไตย
ล่าสุด กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 (ซึ่งเป็นฉบับที่ 20 ของไทย) ก็เป็นการตอบสนองความประสงค์และความทะเยอทะยานของฝ่ายกองทัพ บุคลากร และเครือข่าย ที่จะกุมอำนาจรัฐต่อไป ซึ่งปรากฏการณ์ที่สะท้อนข้อประสงค์นี้ ก็เห็นได้จากการมีวุฒิสภาแต่งตั้ง คณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ คณะกรรมการของบรรดาองค์กรอิสระ ที่สืบทอดมาจากการปกครองบ้านเมืองโดยคณะปฏิวัติ ไปจนถึงวิธีการกาบัตรเลือกตั้ง และการนับคะแนนเสียงเลือกตั้ง และการได้มาซึ่งที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งตัวนายกรัฐมนตรีที่มิได้เป็นผู้แทนราษฎร หรือสังกัดพรรคการเมืองเยี่ยงระบอบประชาธิปไตยที่มีความเป็นสากลหรือพึงเป็น
และแล้วไปกว่านั้น ก็มีการเสนอ และมีการเรียกร้องจากหลายฝักหลายฝ่าย ทั้งภาคพรรคการเมืองและภาคประชาสังคมและประชาชน ให้มีการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เพื่อเอาความเป็นประชาธิปไตยแบบจริงจังและมีสาระกลับคืนมา ไม่ด้อยไปกว่าของอินโดนีเซีย หรือไต้หวัน หรืออินเดีย หรือประเทศใกล้เคียง
และในเรื่องนี้บรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองน่าจะเป็นตัวตั้งตัวตี แต่การณ์กลับเป็นไปในอีกทางว่า พรรคการเมืองทั้งหลายนั้นมิได้คิดหรือเอาใจใส่ หรือให้ใจกับความเป็นประชาธิปไตยของสังคมไทย และการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับความเป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด
กลับเป็นว่าแต่ละพรรคหรือกลุ่มพรรคการเมืองต่างเล่นแง่ เล่นชั้นเชิงทางการเมือง เพื่อการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญในส่วนที่จะทำให้ฝ่ายตนได้เปรียบ (หรือไม่เสียเปรียบ) เช่นในเรื่องวิธีการกาบัตร และเช่นในเรื่องการนับคะแนนเสียง ไปจนถึงการคงไว้ซึ่งวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง โดยมีจุดประสงค์ว่า การคงอยู่เช่นเดิมนั้นจะเป็นฐานเสียงของการที่จะให้ผู้สมัครเป็นนายกรัฐมนตรีของฝ่ายตนได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หรือไม่ก็คงไว้ซึ่งวุฒิสภาเพื่อเป็นโอกาสและช่องทางที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลผสมด้วย
ทั้งหมดนี้จัดได้ว่าเป็นเรื่องแค่ผลประโยชน์ของพรรคการเมืองและนักการเมือง มิได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของปวงชนชาวไทยโดยตรง และมิได้นำไปสู่การเสริมสร้างสังคมไทยให้มีความเป็นประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์ เป็นที่ยอมรับ และเป็นประโยชน์ต่อปวงชนชาวไทย และต่อความก้าวหน้าและยั่งยืนของความเป็นประชาธิปไตยของไทยเอง
ในระหว่างนี้ก็มีกลุ่มประชาสังคมและกลุ่มประชาชนที่ประสงค์จะให้มีการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งมีสาระเนื้อหาต่อความเป็นประชาธิปไตย เช่น การยกเลิกวุฒิสภาแต่งตั้งอย่างสิ้นเชิง หรือการมีวุฒิสภาแต่ต้องยึดโยงกับประชาชนผ่านการเลือกตั้ง การยกเลิกคณะกรรมการยุทธศาสตร์ คณะกรรมการเฉพาะกิจ คณะกรรมการองค์กรอิสระและมหาชนต่างๆ ที่เป็นผลงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคณะรัฐบาลทหาร ไปจนถึงการยกเลิกคำสั่งคณะปฏิวัติ และกฎหมายดั้งเดิมที่เป็นอุปสรรคต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนพลเมือง อีกทั้งก็มีเรื่องของการใช้งบประมาณที่ลดความเหลื่อมล้ำ เสริมสร้างความทัดเทียมอย่างทั่วถึง
การลดอำนาจของระบบราชการ การกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น ไปจนถึงการเปิดกว้างบทบาทขององค์กรภาคประชาชนและประชาสังคมในการช่วยเหลือพัฒนาสังคม และเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การยกเครื่องระบบกระบวนการยุติธรรมทั้งปวง เพื่อมิให้มีอำนาจกระจุกตัว เพิ่มการตรวจสอบและคานอำนาจ และศาลยุติธรรมต้องอยู่ในฐานะที่จะได้รับการตรวจสอบได้ด้วย เป็นต้น
อย่าลืมว่า การยึดมั่นถือมั่นกับกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 มิใช่เพียงแต่จะเป็นการบอนไซประชาธิปไตยกันต่อไป หากแต่ก็เป็นการต่ออายุความขัดแย้งในสังคมไทย ระหว่างฝ่ายอำนาจนิยม กับฝ่ายหัวก้าวหน้า หรือระหว่างฝ่ายอนุรักษ์และอภิสิทธิ์ชน กับฝ่ายมวลชนที่ใฝ่หาความยุติธรรม ให้ยืดยาวต่อไป และบ่มเพาะรอเวลาที่จะปะทุเกิดเป็นความแตกแยกทางความคิดครั้งใหญ่ของสังคมไทยในอนาคต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี