เติ้ง เสี่ยว ผิง ผู้นำสูงสุดจีน ได้ประกาศเปิดประเทศจีนเมื่อปี ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำจีนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจการตลาดแบบทุนนิยม ซึ่งเป็นการยกเลิกระบบเศรษฐกิจที่รัฐวางแผนกำกับและดำเนินการ (State Planning Economy) หรือเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมโดยปริยาย และหลังจากนั้น จีนก็ก้าวกระโดดพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็วสัมฤทธิผลอย่างที่ไม่มีผู้ใดคาดการณ์ได้ (แม้กระทั่งจีนเองก็ตาม)
ย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีที่แล้ว จีนมีระดับความใหญ่โตของเศรษฐกิจเท่ากับประเทศเบลเยียมเท่านั้น แต่ ณ วันนี้ จีนมีความใหญ่โตทางเศรษฐกิจเป็นที่ 2 ถือเป็นรองเฉพาะสหรัฐอเมริกา และคงจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเป็นที่ 1 ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
นอกจากประสบความสำเร็จในความใหญ่โตทางเศรษฐกิจแล้ว จีนยังสามารถนำเอาผู้คนของตนประมาณ 700 ล้านคน ให้ก้าวพ้นออกจากความยากจน และสร้างชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นมาอีกหลายร้อยล้านคน พร้อมด้วยความเจริญทางด้านวัตถุโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
จีนได้กลายเป็นโรงงานสินค้าอุปโภค-บริโภคของโลก และสามารถพัฒนาตนขึ้นมาเท่าทันสหรัฐอเมริกาในเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกิจการอวกาศ แถมยังขยายอิทธิพลทางด้านการทหาร และทางด้านการทำมาค้าขาย และการให้ความช่วยเหลือต่อประเทศที่กำลังพัฒนาในทุกทวีป
การที่จีนเปิดประเทศเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตนั้น จีนเองก็ยังต้องการสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่มีเสถียรภาพ และมีสันติ อีกทั้งจีนต้องรับทั้งเงินทุนจากต่างประเทศพร้อมกับองค์ความรู้ในเรื่องการผลิตสินค้า และวิธีการบริหารจัดการธุรกิจและจะต้องมีตลาดต่างประเทศที่จะรองรับสินค้าส่งออกของจีน ซึ่งจีนก็ได้รับบรรยากาศสภาพแวดล้อมตามที่จีนต้องการ และได้เข้าร่วมในระบบเศรษฐกิจการค้าและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติการะหว่างประเทศอย่างสง่างาม เช่น การเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกเมื่อปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) ส่งผลให้จีนสามารถจัดทำข้อตกลงว่าด้วยการเปิดการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ และกลุ่มประเทศต่างๆ ได้อย่างสะดวกและราบรื่น
ทั้งหมดนี้ประเทศที่ประกันเสถียรภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกหรือคาบสมุทรอินเดีย-แปซิฟิกมาแต่ไหนแต่ไรก็คือ สหรัฐอเมริกา โดยใช้กองกำลังแสนยานุภาพของกองทัพเรือภาคแปซิฟิก (กองทัพเรือภาคที่ 7) พร้อมด้วยพลังอำนาจทางการทูต การเมือง และเศรษฐกิจ อีกทั้งสหรัฐอเมริกาก็เป็นตัวจักรสำคัญที่เปิดประตูองค์การการค้าโลกให้กับจีน ซึ่งหลังจากนั้น เงินทุนสกุลดอลลาร์ก็หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศจีน พร้อมด้วยองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและการบริหารจัดการ กล่าวได้ว่า จีนถือเป็นลูกศิษย์การทำมาค้าขายในระบบทุนนิยมที่ยอดเยี่ยมของ “คุณครู” สหรัฐอเมริกา หรือนัยหนึ่งจีนเป็นศิษย์ที่มีสหรัฐฯ เป็นครู ก็ว่าได้
แต่ทว่าในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมานี้ จีนภายใต้การนำพาของ สี จิ้น ผิง ผู้นำสุดยอดของจีน ได้มีความประสงค์ และมีความทะเยอทะยานมุ่งมั่นที่จะให้จีนขึ้นมาเป็นเจ้าโลกแทนสหรัฐอเมริกา และหวังที่จะขจัดอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาออกไปจากทุกมุมโลก พฤติกรรมของผู้นำจีนนอกจากจะมีนัยของการที่จะสร้างความหายนะให้กับจีน และประชาคมโลกไปด้วยแล้ว ในการที่จีนจะต่อกรกับสหรัฐอเมริกานั้น ก็เสมือนกับการประพฤติตนเยี่ยง “ศิษย์ล้างครู”
ในทางกลับกัน อนาคตชาวโลกคงจะดีกว่านี้ หากผู้นำจีนเลือกจะใช้ความสำเร็จที่โลกไม่เคยพบเคยเห็นในช่วงระยะเวลาแค่ 30-40 ปี ไปสู่การเสริมสร้างมิตรภาพ สมานฉันท์ และการช่วยกันจรรโลง แก้ไขประเด็นปัญหาของโลก ทั้งในเรื่องสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติแบบยั่งยืน การป้องกันโรคระบาดต่างๆ ไปจนถึงการขจัดความยากจนและความเหลื่อมล้ำในสังคมโลกและการเสริมสร้างศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์
ทั้งนี้ เมื่อสหรัฐอเมริกาผู้เป็นครู และเป็นผู้มีพระคุณต่อจีน สหรัฐฯ เองก็ต้องดำรงตนเป็นครูที่ดีด้วย นั่นคือการอะลุ้มอล่วย และการให้อภัยกับศิษย์อย่างจีน
ฉะนั้นก็ต้องใฝ่หาจุดร่วมและช่องทางที่จะปรึกษาหารือกัน เพราะว่าการเผชิญหน้า ต่างฝ่ายต่างก็มีพละกำลังทางทหาร ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณอย่างมากมายมหาศาล จึงไม่ใช่เป็นเรื่องสร้างสรรค์ หากแต่จะเป็นการสูญเสียทั้งทุนทรัพย์ และทรัพยากรต่างๆ ไปโดยเปล่าประโยชน์ หากมีการลดความตึงเครียด และลดการเสริมสร้างแสนยานุภาพทางการทหาร เงินทองที่ไม่ต้องใช้เพื่อการนี้ ทั้งสองฝ่ายก็จะสามารถนำไปใช้ในเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิต การฟื้นฟูและรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และการขจัดความยากจนและความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ และระหว่างประเทศได้อีกมากมาย แต่หากยังมุ่งหน้าแบบรถไฟชนกันด้วยการสงครามก็จะวอดวายกันทั้ง 2 ฝ่าย และจะวอดวายกันทั้งโลกด้วย
ทั้งหมดนี้ ก็อดคิดถึงหลักพุทธศาสนาว่าด้วย การมีสติ และการอยู่บนความสันติมิได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี