มีข่าวกระเซ็นกระสายมาก่อนหน้าแล้วว่าจะมีมาตรการเกี่ยวกับการห้ามการเสนอข้อมูลข่าวสารทางสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย ที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โคบ้าในประเทศไทย ซึ่งในช่วงแรกก็มีเสียงทักท้วงจำนวนมาก
จึงมีการออกข้อกำหนดเฉพาะการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จที่ทำให้เกิดความตื่นตกใจกลัว และกระทบต่อการแก้ปัญหาโคบ้า
หลังจากนั้นไม่กี่วันโดยเฉพาะหลังการประชุมร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับรองนายกรัฐมนตรีทั้ง 6 คนแล้วก็มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายฉุกเฉินออกข้อกำหนดในการเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชน รวมทั้งโซเชียลมีเดียและอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการตระหนกตกใจหรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนอันกระทบต่อความมั่นคงโดยเฉพาะการแก้ปัญหาโคบ้า
จึงเกิดเสียงต่อต้านคัดค้านอย่างกว้างขวางทั้งจากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน องค์กรสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะจากนักสิทธิมนุษยชนและขบวนการประชาธิปไตยต่างๆ
เนื้อหาสาระในการคัดค้านก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน คือกล่าวอ้างว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย และที่มากไปกว่านั้นก็อ้างว่าเป็นการปิดปากประชาชนไม่ให้พูดความจริงไม่ให้เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับความผิดพลาดล้มเหลวหรือการทุจริตฉ้อฉลที่เกิดขึ้นในกระบวนการแก้ไขปัญหาโคบ้า
นั่นเป็นเสียงคัดค้านโดยรวม แต่ในทางปฏิบัติหลังจากนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายที่จะต้องทำการตรวจสอบและทำการปิดการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารนั้นโดยเฉพาะในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมุ่งไปที่ผู้ให้บริการของระบบนั้นๆ ซึ่งถ้าหากผู้ให้บริการเหล่านั้นไม่ดำเนินการก็จะถูกดำเนินคดีต่อไปด้วย
สำหรับผู้นำข้อมูลข่าวสารมาเผยแพร่ก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามข้อกำหนดดังกล่าว เป็นคดีอาญาซึ่งมีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ
ข้อกำหนดดังกล่าวใช่ว่าจะมีผลบังคับเฉพาะการนำข้อมูลข่าวสารมาเผยแพร่จากภาคประชาชนเท่านั้น แต่ย่อมมีผลกับหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีการปฏิบัติฝ่าฝืนข้อกำหนดดังกล่าวด้วย
ดังนั้นหน่วยงานของรัฐก็ดี เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ดี ที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารไม่ว่าโดยสื่อประเภทใดก็อยู่ในข่ายที่จะต้องรับผิดชอบและจะต้องถูกดำเนินคดีอย่างเดียวกัน
และทำให้น่าคิดว่าการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผู้ป่วยจำนวนมากและผู้เสียชีวิตจำนวนมากในแต่ละวันนั้นเป็นกรณีที่มีการทำให้ตื่นตกใจกลัวในหมู่ประชาชนหรือไม่ ถ้าเป็นก็ต้องมีความผิดเช่นเดียวกัน
หรือการนำเสนอข้อมูลข่าวสารไม่ว่าโดยทางใดๆ ของนักการเมืองหรือรัฐมนตรีที่ทำให้เกิดความตื่นตระหนกตกใจกลัวโดยเฉพาะหลายกรณีที่ไม่เป็นความจริงและเกิดความเสียหายในบ้านเมืองก็อาจอยู่ในข่ายที่อาจถูกดำเนินคดีอย่างเดียวกัน
แม้กระทั่งหมอบางพวกที่วันๆ นำเสนอข้อมูลข่าวสารในทางที่ทำให้ประชาชนตื่นตกใจกลัว เช่น ความร้ายแรงของโรค และการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งหลายครั้งก็เกินไปจากความเป็นจริง หรือแม้กระทั่งการนำเสนอว่าประชาชนจะต้องเตรียมกักตุนข้าวสารอาหารแห้งเป็นเวลาหลายสัปดาห์ประหนึ่งว่าจะเกิดศึกสงคราม การนำเสนอข้อมูลข่าวสารเช่นนี้ก็อาจอยู่ในข่ายความผิดเช่นเดียวกัน
ในกรณีที่ไม่มีหน่วยงานของรัฐว่ากล่าวดำเนินคดีก็ใช่ว่าจะเป็นคดีไม่ได้ เพราะภาคประชาชนก็สามารถแจ้งความกล่าวหาได้ แต่อาจจะไม่เกิดผลมากนัก เพราะล้วนต้องอาศัยกลไกของรัฐในการดำเนินการ
ดังนั้นกรณีข้อกำหนดดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่สมควรจะได้พิจารณาถึงผลที่จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง ซึ่งผลสำคัญที่จะเกิดขึ้นน่าจะมีดังต่อไปนี้
ประการแรก อาจส่งผลกระทบในทางการเมือง โดยเฉพาะทางภาคประชาชน องค์กรสื่อมวลชนและนักวิชาการ ตลอดจนนักประชาธิปไตยทั้งหลาย ที่ขณะนี้ก็มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพราะกฎหมายที่มีอยู่ก็เพียงพอที่จะบังคับใช้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ต่อให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นความจริง ถ้าหากเกิดความตกใจกลัวในหมู่ประชาชนแล้วก็ย่อมเป็นความผิดตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนด
ผลกระทบทางการเมืองดังกล่าวจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่กำลังขยายผลในการต่อต้านอย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะการก่อตัวของคาร์ม็อบซึ่งผ่านมาสองครั้งแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ โดยมีการอ้างว่าจะมีคาร์ม็อบเกิดขึ้นในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะต้องจับตาดูกันต่อไปว่าผลจากข้อกำหนดนี้จะผลักให้ประชาชนไปเข้าร่วมกับม็อบดังกล่าวมากและน้อยเท่าใด
โดยเฉพาะหลังจากมีการดำเนินคดีแล้ว ผลกระทบและแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นก็จะยังคงต่อเนื่องต่อไป และถ้าหากผู้ถูกดำเนินคดีเป็นสื่อสำคัญที่มีผู้นิยมกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือโซเชียลมีเดีย ก็จะทำให้บรรดาผู้นิยมชมชอบรายการเหล่านั้นมีท่าทีเห็นอกเห็นใจต่อสื่อมวลชนเหล่านั้น และจะเป็นการเพิ่มจำนวนให้แก่ฝ่ายต่อต้านมากขึ้น
ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน การปิดปากประชาชน เป็นปัญหาทางการเมืองที่แหลมคมที่อาจลุกลามบานปลายต่อไปได้
ประการที่สอง ในกรณีเมื่อมีการดำเนินคดีเกิดขึ้นก็จะทำให้ฐานะของผู้ถูกดำเนินคดีนั้นกลายเป็นผู้เสียหาย ที่มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีเพื่อปกป้องสิทธิของตนหรือเพื่อใช้สิทธิ์ทางศาลของตนได้ นั่นคือการเปิดช่องให้ภาคประชาชนกลายเป็นผู้เสียหายและสามารถนำคดีขึ้นสู่ศาลได้โดยตรง แทนที่จะแจ้งความดำเนินคดีซึ่งอยู่ในอำนาจและเครือข่ายของรัฐ
ดังนั้นยิ่งมีการดำเนินคดีมากคนมากรายเท่าใดก็จะเป็นทางให้เกิดคดีความที่อาจถูกผู้เสียหายเหล่านั้นฟ้องกลับ ก็จะกลายเป็นคดีพิพาทระหว่างราษฎรกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือกับรัฐขยายเป็นวงกว้างออกไป
ประการที่สาม ในฐานะผู้เสียหายที่ถูกดำเนินคดีตามคำสั่งที่อาศัยอำนาจกฎหมายฉุกเฉินดังกล่าวนั้น ซึ่งย่อมแน่นอนว่าย่อมมีคำสั่งให้ปิดสื่อหรือโซเชียลมีเดียประเภทต่างๆ ด้วย ดังนั้น ผู้เสียหายจึงสามารถใช้สิทธิ์ทางศาลยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตนได้
และในการฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งนั้นๆ ผู้เสียหายก็มีสิทธิ์ที่จะกล่าวอ้างว่าการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินก็ดี การออกข้อกำหนดดังกล่าวก็ดีไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ก็จะเป็นการเปิดทางที่ศาลจะต้องส่งปัญหาประเด็นนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งปกติหนทางนำเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้นยากลำบากมาก แต่ข้อกำหนดนี้จะเปิดทางให้สามารถนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศารัฐธรรมนูญได้ และถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินขัดรัฐธรรมนูญ หรือการออกข้อกำหนดขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและการออกข้อกำหนดนี้ถูกยกเลิกเพิกถอน
และในกรณีที่มีการปิดสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียต่างๆ ผู้เสียหายก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยขอให้ศาลทำการไต่สวนฉุกเฉินและออกคำสั่งคุ้มครองในทันทีก็ได้ ซึ่งจะต้องติดตามดูสถานการณ์กันต่อไป
ประการที่สี่ เนื่องจากข้อกำหนดที่เพิ่งออกมาใหม่นั้นมีลักษณะกว้างมาก ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงที่จะถูกผู้เสียหายกล่าวหาได้ว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ แม้กระทั่งเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริตหรือเกินสมควร ตามเงื่อนไขที่กฎหมายฉุกเฉินได้กำหนดไว้ ผู้เสียหายก็อาจยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตได้อีกส่วนหนึ่ง และเมื่อนั้นก็จะเกิดเป็นคดีความขึ้นระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ เป็นการชุลมุนต่อไป ซึ่งจะเกิดความเสี่ยงต่อความรับผิดเพราะโทษที่กำหนดจากความผิดเหล่านี้มีอัตราโทษสถานหนัก พลาดพลั้งเข้าก็จะเสียอนาคต
ดูสภาพการณ์แล้วต้องขอแสดงความห่วงใยต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย โดยเฉพาะการเกิดข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชนนั้นมิได้เป็นผลดีแก่ใครเลย มีแต่จะเกิดความเสียหายเป็นด้านหลัก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี