เมื่อวานนี้ สถาบันการคุ้มครองเงินฝาก ปรับลดวงเงินคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงิน จากเดิมอยู่ที่ 5 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงิน
เป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก ที่มีตั้งแต่ปี 2551
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสถานการณ์โควิด หรือผลกระทบทางเศรษฐกิจ หรือสถานการณ์ความเข้มแข็งของสถาบันการเงินในปัจจุบันใดๆ เลย
น่าเวทนาที่คนที่อ้างตนเป็นคนรุ่นใหม่ กลุ่มการเมือง ขาม็อบ พยายามนำไปแสดงความ “ขี้เท่อ” แบบผิดๆ อย่างมั่นอกมั่นใจจนน่าสมเพชเวทนา น่าอับอาย
1. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจง 3 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการลดวงเงินคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) จาก 5 ล้านบาท เหลือ 1 ล้านบาท
ความเข้าใจผิดที่ 1 : เงินฝากส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท จะไม่ได้รับคืน
ธปท.ระบุว่ามีสิทธิได้รับคืน โดยเงินฝากที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อสถาบันการเงิน จะได้รับความคุ้มครองทันที ขณะที่เงินฝากส่วนที่เกิน ยังมีสิทธิได้รับคืน แต่ต้องรอการชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นก่อน จากนั้นจะได้รับคืนตามลำดับการชำระคืนเจ้าหนี้ตามกฎหมาย
ความเข้าใจผิดที่ 2 : ลดวงเงินคุ้มครองเงินฝาก เพราะสถาบันการเงินมีปัญหา
ธปท.ชี้แจงว่า ไม่เกี่ยวข้องกันกับการลดวงเงินคุ้มครอง เนื่องจากเป็นไปตามแผนที่กำหนดเดิมของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก โดยตั้งแต่ปี 2551 ได้กําหนดวงเงินคุ้มครองลดลงเป็นขั้นบันไดมาเป็นลำดับ เพื่อให้ประชาชนคุ้นเคยและค่อย ๆ ปรับตัวได้อย่างเหมาะสม ดังนี้
ปี 2551 คุ้มครองเต็มจำนวน
ปี 2555 คุ้มครอง 50 ล้านบาท
ปี 2558 คุ้มครอง 25 ล้านบาท
ปี 2559 คุ้มครอง 15 ล้านบาท
ปี 2561 คุ้มครอง 10 ล้านบาท
ปี 2562 คุ้มครอง 5 ล้านบาท
ปี 2564 คุ้มครอง 1 ล้านบาท
ธปท.อธิบายด้วยว่า เดิมเคยกำหนดจะปรับลดเหลือ 1 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2555 แต่ขยายเวลามาเรื่อยๆ จากความผันผวนของตลาดเงินทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ กฎหมายไม่ได้กำหนดวงเงินคุ้มครองต่ำกว่านี้แล้ว
ปัจจุบัน สถาบันการเงินมีฐานะเข้มแข็ง ภายใต้การกำกับดูแลของแบงก์ชาติ จากเงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง และยังสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค
สถาบันการเงินยังมีศักยภาพในการให้ความช่วยเหลือตามมาตรการทางการเงิน และรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 โดยมีเงินกองทุน (BIS ratio) อยู่ที่ 20.04% และสภาพคล่อง (LCR) อยู่ที่ 186.54%
ความเข้าใจผิดที่ 3 : การปรับลดวงเงินคุ้มครอง ในช่วงโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประชาชน
ธปท.ชี้แจงว่า การลดวงเงินไม่กระทบผู้ฝากเงินส่วนใหญ่
เพราะวงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาทนี้ มีผู้ฝากเงินที่ได้รับการคุ้มครองเต็มจำนวน 82 ล้านราย หรือคิดเป็น 98% ของผู้ฝากที่ได้รับการคุ้มครองทั้งระบบอยู่แล้ว
และหากพิจารณาการดำเนินการในลักษณะเดียวกันของต่างประเทศ พบว่า ไม่มีหน่วยงานคุ้มครองเงินฝากปรับเพิ่มวงเงินคุ้มครองในช่วงโควิด-19 ทั้งนี้ จากข้อมูล วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท มีสัดส่วน 98% และมากกว่า 1 ล้านบาท มีสัดส่วนเพียง 2%
2. บัญชีเงินฝากที่เข้าข่ายตามนี้ ครอบคลุมบัญชีเงินฝาก 5 ประเภท
ทั้งบัญชีของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
ทั้งของคนไทยและต่างประเทศที่ฝากเงินเป็นสกุลเงินบาทกับสถาบันการเงินของไทยภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากรวมทั้งสิ้น 35 แห่ง
โดยคุ้มครองบัญชีเงินฝาก 5 ประเภท ได้แก่ เงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ บัตรเงินฝาก ใบรับฝากเงิน
โดยผู้ฝากเงินจะได้รับเงินฝากคืนภายใน 30 วัน ตามวงเงินที่กฎหมายกำหนด หากสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากถูกเพิกถอนใบอนุญาต
ดังนั้น ผู้ฝากเงินรายย่อยไม่ต้องตื่นตกใจ เนื่องจากการคุ้มครองวงเงินจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสถาบันการเงินปิดกิจการ หรือโดนเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งหากดูสถานะของสถาบันการเงินในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับปี 2540
การคุ้มครองนี้ จะเป็นโดยอัตโนมัติทันทีที่เปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งผู้ฝากเงินไม่ต้องดำเนินการใดๆ และไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง
โดยวงเงินคุ้มครองจะคุ้มครองในลักษณะ 1 รายชื่อผู้ฝากต่อ 1 สถาบันการเงิน โดยนำเงินฝาก (เงินต้นและดอกเบี้ย) ของผู้ฝากแต่ละรายในทุกสาขาและทุกบัญชีมาคำนวณรวมกัน
3. ถ้าระบบเดิม สมัยก่อน หากแบงก์ไหนทำธุรกิจเสี่ยง เสียหาย หรือมีโกง จนล้มไป รัฐต้องเอาเงินภาษีคนทั้งประเทศมาอุ้ม ซึ่งไม่เป็นธรรมกับประชาชนทั่วไป
แต่ระบบแบบปัจจุบันนี้ จะทำให้สถาบันการเงินแต่ละแห่งต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง และเร่งสร้างความเชื่อมั่นของตนเองต่อประชาชน เพราะมิฉะนั้น ประชาชนก็จะเลือกฝากเงินกับสถาบันการเงินที่มีความมั่นคง น่าเชื่อถือ ปลอดภัย และบริหารจัดการความเสี่ยง
4. นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) ยืนยันว่า วงเงินคุ้มครองที่ 1 ล้านบาท มีผู้ฝากที่ได้รับความคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน 82.07 ล้านราย คิดเป็น 98.03% ของผู้ฝากทั้งระบบ ซึ่งถือเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ข้อมูลเงินฝาก ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ผู้ฝากในระบบสถาบันการเงินภายใต้ความคุ้มครองของสถาบันมีจำนวนทั้งหมด 83.72 ล้านราย เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นปีก่อน พบว่าจำนวนผู้ฝากเพิ่มขึ้น 1,337,334 ราย หรือเพิ่มขึ้น 1.62% โดยจำนวนผู้ฝากที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผู้ฝากรายย่อยซึ่งมีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดเป็น 97% ของจำนวนผู้ฝากที่เพิ่มขึ้น และเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองมีจำนวนทั้งสิ้น 15.28 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 347,940 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.33% จากสิ้นปีก่อน
5. ใครมีเงินฝากเกินล้าน และอยากได้รับความคุ้มครองจากรัฐเต็มจำนวน ทางเลือกทางหนึ่ง คือ แบงก์รัฐ
บรรดาสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ยังให้การคุ้มครองเงินฝากเหมือนเดิม เนื่องจากทุกธนาคารเป็นธนาคารของรัฐ
แบงก์รัฐจะไม่เกี่ยวข้องกับ สคฝ. เนื่องจากมีกฎหมาย พ.ร.บ.การก่อตั้งเป็นของตนเอง
ปัจจุบัน ทุกธนาคารยังมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งมาก
ข้อมูลล่าสุดในปี’64 สถาบันการเงินรัฐทั้ง 6 แห่ง มีเงินฝากรวมกว่า 5.5 ล้านล้านบาท มีบัญชีเงินฝากทุกประเภท 82 ล้านบัญชี ซึ่งทุกแบงก์จะได้รับการดูแลโดยรัฐทั้งหมด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี