อะไรคือ “อยุธยา-กรุงเทพฯ เมืองลอยน้ำ” ? ในสถานการณ์ที่อยุธยาน้ำท่วมและกรุงเทพฯ ลุ้นว่าจะท่วมแค่ไหน ใครมาบอกว่าเป็น “เมืองลอยน้ำ” ก็คงจะต้องทำหน้างงๆ
พอได้อ่านบทความ เรื่อง “บ้านเมืองของเรามีพื้นฐานมาจาก : อยุธยา-กรุงเทพฯ “เมืองลอยน้ำ” ของอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม อ่านแล้วทึ่ง ได้แต่ร้องโอ้โห... บ้านเมืองของเราช่างมีพื้นฐาน มีเรื่องราว ความเป็นมาที่อัศจรรย์ และชื่นชมอาจารย์ศรีศักร ในฐานะ “ปราชญ์” ที่เล่าเรื่องได้ครอบคลุมหลากมิติ ทำให้เกิดความเข้าใจในรากเหง้าของแผ่นดินถิ่นสยามเรามากขึ้น
ขอคัดบางตอนของบทความมาแบ่งปันการรับรู้ โดยสรุป ดังนี้
1. การสร้างบ้านแปงเมืองอยุธยา
อาจารย์ศรีศักรเริ่มต้นจากทบทวนการสร้างบ้านแปงเมืองของกรุงศรีอยุธยาและขยายความเพิ่มว่า อยุธยานั้นตัวเมืองอยู่กับน้ำ น้ำทุกสายวิ่งเข้าอยุธยา แต่น้ำเหล่านี้จะถูกกระจายไปตามทุ่งรอบๆ หมดและตามคลองต่างๆ เพราะฉะนั้น ระดับน้ำในตัวเมืองอยุธยาจึงไม่สูง รวมทั้งน่าสนใจในเรื่องผังเมืองมากโดยในช่วงที่โปรตุเกสเข้ามามีการสร้างกำแพงสูงแบบตะวันตกและมีการขุดคลองผ่าน ผังเมืองเปลี่ยนในตอนนั้น ส่วนการย้ายเมืองของกรุงศรีอยุธยาคือการย้ายที่ทำการเหมือนกับธนบุรีย้ายมากรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเพียงการย้ายวัง แต่ชุมชนดั้งเดิมก็ยังอยู่
เมื่อมีการย้ายที่ทำการเมืองใหม่ ชุมชนแห่งใหม่ที่เกิดขึ้นจึงอยู่รอบๆบึงพระรามที่เรียกว่า หนองโสน เหตุที่ย้ายมาบริเวณนี้เพราะเป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้การสร้างบ้านแปงเมืองในสมัยก่อนน้ำอุปโภค-บริโภคเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จึงเกิดเมืองรอบๆ และพระราชวังก็อยู่บริเวณวัดพระราม
อยุธยาไม่มีแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะลำน้ำนี้ไม่ได้เรียกเจ้าพระยาแต่เรียกลำน้ำบางแก้ว ถัดไปเป็นลำน้ำน้อย พอมาสมัยพระบรมไตรโลกนาถก็มีการขุดคลองสระบัวเชื่อมลำน้ำลพบุรี เป็นการเชื่อมชุมชน มีการสร้างกำแพงเมืองล้อมรอบซึ่งมีหน้าที่กันไม่ให้น้ำท่วม โดยน้ำจะท่วมที่ชานเมืองนอกกำแพงเท่านั้น
แต่พื้นที่ชานเมืองถัดจากกำแพงที่โดนน้ำท่วมนี้คือพื้นที่เศรษฐกิจ จึงประกอบด้วยบ้านเสาสูงและเรือนแพมากมาย เวลาน้ำมากก็ถูกกำแพงกั้นไว้ไม่ให้
ท่วมบริเวณนี้แล้วระบายน้ำด้วยคลองต่างๆ มีช่องประตูปิดเปิดโดยใช้ระบบกำลังของน้ำโดยสร้างเป็นระหัดและเกิดเป็นระบบประปาโบราณ
อาจารย์ศรีศักร เล่าว่า ในอดีตฤดูน้ำเป็นฤดูนักขัตฤกษ์จึงมีการเล่นสักวากันตรงนี้ทำให้เห็นภาพวัฒนธรรมว่าเป็นอย่างไร และมีวรรณกรรมอยุธยาในยุคแรก ๓ เรื่องด้วยกันที่อยากให้ได้ศึกษา เรื่องแรกคือ กำสรวลสมุทร เรื่องที่สองคือทวาทศมาส เรื่องที่สามคือ ลิลิตยวนพ่าย เขาจะบันทึก Place Name ต่างๆ ที่คนในอยุธยาเขาสร้างขึ้นในแต่ละยุคสมัย
2. “บางกอก” หรือ “บางเกาะ”?
กรุงเทพฯ พัฒนามาจากสองฝั่งน้ำเจ้าพระยาโดยตรง แล้วขุดคลองแยกออกไปถึงนนทบุรี
ปากเกร็ด เกิดจากการขุดคลองลัดสมัยพระเจ้าท้ายสระ ถิ่นฐานมอญก็ต่อเรื่อยมาจนถึงปากเกร็ด เดิมบริเวณนี้มีแม่น้ำอ้อมก่อนถึงวัดเฉลิมพระเกียรติ คือเป็นปากคลองอ้อมผ่านมาถึงบางใหญ่ต่อมาถึงบางกรวยแล้วออกหน้าวัดเขมาภิรตาราม ตรงนี้เป็นคลองขุดทำให้เกิดเป็นเกาะ ดังนั้นก็คือ เกร็ดใหญ่ก็เกาะ เกร็ดน้อยก็เกาะ
เกาะใหญ่อีกแห่งคือบางกรวย บางใหญ่ พื้นที่เกาะนี้ทำให้เกิดนิเวศชาวสวนเพราะดินดี สมัยโบราณเวลาเดินทางต้องอ้อมก่อนที่จะขุดคลองลัดนี้ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง นนทบุรีจึงเกิดขึ้นสองฝั่งคือเมืองที่เรียกว่า ตลาดแก้ว ตลาดขวัญ และเป็นนิเวศชาวสวน วัดก็เรียงรายสองฝั่งน้ำ
บ้านเมืองที่เกิดขึ้น ก็เกิดจากคลองขุดทั้งสิ้น
เมื่อผ่านบางใหญ่มาบางกรวย ออกตรงบริเวณหน้าวัดเขมาฯก็เข้าสู่ลำน้ำธรรมชาติ ผ่านพระรามหก มาถึงปากคลองบางกอกน้อยก็ผ่านแม่น้ำอ้อมอีกแห่งหนึ่ง
อ้อมผ่านคลองชักพระ บางระมาด ไปออกคลองบางหลวง แม่น้ำอ้อมตรงนี้มีการขุดคลองลัดเก่าที่สุด ขุดในสมัยพระชัยราชาธิราช เป็นคลองลัดบางกอกทำให้เกิดเกาะบางกอกขึ้นมา
ดังจะเห็นว่า ในกำสรวลสมุทรซึ่งเป็นวรรณคดีสมัยต้นกรุงไม่เคยพูดถึงบางกอก เรือที่มาจากอยุธยาผ่านเข้าคลองบางกอกน้อยไปตามลำคลองเก่า แต่ออกทางไปดาวคะนอง ก่อนถึงคลองด่าน ตรงนั้นมันมีมาก่อนการขุดคลองลัดในสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช คลองลัดนี้ขุดผ่านบริเวณธรรมศาสตร์และศิริราชในปัจจุบันทะลุไปออกปากคลองบางหลวง หน้าวัดอรุณราชวรมหาวิหาร กลายเป็นกรุงเทพฯ ธนบุรี นี่คือความเปลี่ยนแปลง
“เวลาเราพูดถึงบางกอกหรือบางเกาะ มันมีคำถามเกิดขึ้น ชาวต่างประเทศบันทึกว่าบางเกาะ แต่เราไปตีความว่าบางกอก เลยกลายเป็นบางกอกหมด ซึ่งส่วนตัว
ไม่คิดว่ามีต้นมะกอก เพราะเป็นป่าชายเลน น่าจะมีต้นลำพูมากกว่า แต่ถิ่นฐานจะเกิดขึ้นตรงนี้ จากภาพความเปลี่ยนแปลง” อาจารย์ศรีศักรกล่าว
3. การสร้างบ้านแปงเมืองของกรุงเทพฯ
ทางเดินออกทะเล จากการเสด็จฯของพระเจ้าเสือทำให้รู้ว่าไม่ได้ผ่านไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งเส้น แต่ผ่านไปทางคลองด่าน แถวคลองโคกขาม จึงมีเรื่องพันท้ายนรสิงห์ขึ้น หลังเหตุการณ์นี้ไปแล้วจึงให้ฝรั่งมาช่วยขุดเป็นคลองมหาชัยไปเชื่อมแม่น้ำท่าจีน ส่วนสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้ขุดคลองมหาสวัสดิ์และคลองภาษีเจริญเชื่อมระหว่างแม่น้ำท่าจีนกับแม่น้ำเจ้าพระยา
การสร้างบ้านแปงเมืองของกรุงเทพฯในระยะต้นๆ นั้น เน้นทางตะวันตกคือฝั่งธนบุรี ไม่ได้เน้นเข้ามาทางด้านตะวันออก ส่วนแม่น้ำบางปะกงที่เชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาคือคลองสำโรง ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น คือครั้งลอกคลองสำโรงก็พบเทวรูปเขมร แต่คลองสำโรงคิดว่าไม่ได้ออกแม่น้ำบางปะกง เพราะจะไม่เชื่อมแม่น้ำใหญ่ภายหลังจึงขุดเพิ่มขึ้น
เส้นทางที่เกิดการสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นมา แถบปากน้ำเรียกบางเจ้าพระยา ก่อนหน้านั้นแม่น้ำสายนี้ไม่มีชื่อ ฝรั่งก็เรียกเพียงแม่น้ำ แต่สมัยก่อนลำน้ำเป็นพื้นที่ของแต่ละถิ่นจึงน่าจะมีชื่อเรียกของแต่ละถิ่น ดังจะเห็นได้จากลำน้ำสุพรรณบุรี ต้นน้ำชื่อคลองมะขามเฒ่า ผ่านสุพรรณก็เรียกแม่น้ำสุพรรณบุรี ถัดลงมาคือแม่น้ำนครชัยศรี ปลายน้ำคือแม่น้ำท่าจีน เป็นต้น
“ลำน้ำนี้ก็เช่นกัน ปลายน้ำคือเจ้าพระยา แต่รัชกาลที่ ๕ เปลี่ยนเป็นชื่อแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดสาย ตรงนี้สำคัญ เพราะน้ำที่ผ่านแต่ละช่วงมันผ่านถิ่น แต่ละถิ่นเป็นนิเวศของเขาเพราะฉะนั้นต้องดูแลกันเอง คนในท้องถิ่นเขาแชร์ทรัพยากรร่วมกันสองฝั่งน้ำ ประเพณีวัฒนธรรมเกิดขึ้นตรงนี้”
อาจารย์ศรีศักรชี้ว่า กรุงเทพฯกับธนบุรีคือเมืองเดียวกัน เพียงแต่ Seat of Power เปลี่ยน รัชกาลที่ ๑ ทรงเปลี่ยนมาอยู่บริเวณพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นที่โล่ง และขุดคลองบางลำพูเป็นคลองเมืองก็เกิดถนนราชดำเนินใน ต่อมาขยายออกไปเป็นราชดำเนินกลาง ราชดำเนินนอก และขยายกว้างออกไปมาก
ที่สนใจก็คือมีคลองหลอดที่เชื่อมกับฝั่งธนบุรี ฝั่งธนบุรีคูเมืองหายไปกลายเป็นสวนรถไฟไปหมด ความเก่าของธนบุรีมันหายไป คนไม่รู้ว่าธนบุรีคืออะไร ซึ่งคลองหลอดที่จริงเสมือนกำแพงเมืองธนบุรี แต่เวลาเรียนประวัติศาสตร์กรุงเทพฯไม่เคยพูดถึงตรงนี้
“หากพูดถึงประวัติศาสตร์กรุงเทพฯตรงนี้คือจำลองอยุธยาเข้ามา ความเป็นกรุงเทพธนบุรีซ้อนให้เห็นจากวัด สมัยรัชกาลที่ ๓ Landscape อยู่ที่วัดอรุณ พอฝรั่งเข้ามาเขาไม่เห็นกรุงเทพฯหรอกแต่เห็นจากตรงนี้ มันเป็นสองฝั่งน้ำโดยตลอด ตัวกรุงเทพฯน้ำจะไม่ท่วมเพราะมีกำแพงเหมือนอยุธยาและมีคลองขุดตัดไปมาเพื่อระบายน้ำคล้ายกัน และเหมือนอยุธยาที่มีชานพระนคร ซึ่งเมืองอื่นไม่มี แต่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ อย่างที่หน้าวัดบวรนิเวศฯ กำแพงเมืองยังมีและถัดไปยังมีชานพระนครอยู่ มีบ้านเรียงรายไปตลอด บ้านเก่าก็มีอยู่ใกล้ๆภูเขาทองเป็นบ้านเสาสูง คนก็อยู่ตรงนั้น”
ข้างต้นนี้ แค่เนื้อหาบางส่วน ยังมีรายละเอียดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีกหลายแง่มุม
ขอบพระคุณ แฟนเพจ “สยามเทศะ โดยมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์” ท่านผู้ที่สนใจอ่านฉบับเต็มและอีกหลายๆ เรื่องราวในท้องถิ่นแผ่นดินสยาม เชิญไปติดตามได้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี