เราคงจะพอจำกันได้ว่า ในช่วงปี 2556 และต้นปี 2557 มีความขัดแย้งทางการเมืองในรัฐสภาระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ในเรื่องการดำเนินการแบบสุดซอยเพื่อนำอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กลับสู่บ้านเมืองอย่างสง่างาม ไปจนถึงเรื่องเงินกู้และนโยบายประกันข้าวเปลือก ที่ขาดความโปร่งใส ซึ่งหาข้อยุติไม่ได้ จนมีการเดินออกจากสภาโดยพรรคฝ่ายค้าน เรื่องการบ้านการเมืองจึงไหลทะลักสู่ท้องถนน เป็นการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายการเมืองฝ่ายค้าน เป็นการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายการเมืองภาคประชาชนแต่แล้ว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ผู้รักษาพระนคร และผู้รักษาความมั่นคงภายใน ก็ได้ยื่นมือเข้ามาเพื่อช่วยแก้ไขประเด็นปัญหาของบ้านเมือง โดยการจัดประชุมระหว่างฝ่ายพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน และกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งที่สนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล แต่ก็หาข้อยุติไม่ได้ ในเงื่อนไขว่าด้วยการยุบสภา การมีรัฐบาลรักษาการที่มิได้มาจากฝ่ายรัฐบาล การปฏิรูปประเทศ การแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ แล้วมีการเลือกตั้งใหม่ ทั้งหมดได้ใช้เวลากันไปทั้งหมด 48 ชั่วโมงจนในที่สุดผู้บัญชาการทหารบกก็กล่าวต่อที่ประชุมว่าเมื่อตกลงกันไม่ได้ ผมก็ขอยึดอำนาจ และไล่ต้อนกลุ่มที่เกี่ยวข้องทั้งหมดขึ้นรถไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในที่กักขังชั่วคราว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็กลายมาเป็นวีรบุรุษของปวงชนชาวไทยที่จะช่วยแก้ไขปัญหาบ้านเมือง และหลีกเลี่ยงปัญหายึดอำนาจทันทีทันควัน ดังที่ปฏิบัติกันที่ผ่านๆ มา แต่ได้จัดเวทีและช่วยเป็นสื่อกลางที่จะให้ฝ่ายที่เห็นต่างสามารถพูดจาเพื่อหาข้อยุติร่วมกันได้
การยึดอำนาจเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีการประท้วงจากแกนนำทางการเมืองต่างๆ และไม่มีปฏิกิริยาในเชิงลบจากปวงชนชาวไทยโดยทั่วไป เพราะต่างเห็นว่า การปฏิวัติรัฐประหารเป็นการยุติข้อขัดแย้งทางการเมือง นำเสถียรภาพกลับสู่บ้านเมือง และเปิดโอกาสให้มีการเริ่มต้นกันใหม่
ปวงชนชาวไทยโดยทั่วไปก็ต่างเห็นว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง มีความตั้งใจดี และเป็นนายทหารหาญที่ไม่มีประวัติด่างพร้อย
ก็เชื่อและให้ความหวังกับตัว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะช่วยแก้ปัญหาบ้านเมืองต่างๆ ได้ ทั้งในเรื่องปรองดองสมานฉันท์ และในเรื่องการปฏิรูปประเทศ 5 ปีแรกของการเป็นนายกรัฐมนตรีในกรอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคณะปฏิวัติ ก็มีการจัดตั้งสภาปฏิรูป และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูป มีการจัดตั้งคณะกรรมการยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ได้ยกร่างแล้วเสร็จ และผ่านการเห็นชอบของประชาชนพลเมืองด้วยการลงประชามติ ในขณะเดียวกันบ้านเมืองก็มีความสงบ มีเสถียรภาพ ประชาชนโดยทั่วไปมีความไว้วางใจในตัว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และให้การสนับสนุน ก็จัดได้ว่า พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ประสบความสำเร็จในการหย่าศึก เสริมสร้างเสถียรภาพ และจัดวางกฎเกณฑ์กติกาเพื่อประเทศไทยจะได้ก้าวไปข้างหน้าต่อไป นอกจากนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีคะแนนนิยม หรือการได้รับความนิยมชมชอบจากปวงชนชาวไทยในความเป็นกันเอง พูดจาตรงไปตรงมา ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง บุคคลในครอบครัวก็ไม่ออกมาจุ้นจ้านยุ่งเกี่ยวกับการบริหารราชการ
การเป็นนายกรัฐมนตรีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเป็นไปด้วยความราบรื่น แถมก็ยังโชคดีที่การปฏิวัติรัฐประหารมิได้นำมาซึ่งการคว่ำบาตร หรือความรังเกียจเดียดฉันท์ จากมิตรประเทศทั้งใกล้และไกล ก็ต่างตระหนักว่าการปฏิวัติรัฐประหารนั้นเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นเรื่องเฉพาะกิจเฉพาะกาล และประเทศไทยก็จะหวนกลับสู่การเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย เมื่อกฎหมายรัฐธรรมนูญผ่านประชามติก็มีนัยว่าจะต้องมีรัฐบาลใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้ง และก็คงเป็นที่คาดหวังกันว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเมื่อสามารถส่งมอบกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้กับสังคมไทยได้แล้ว การคงอยู่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (รสช.) ก็คงจะหมดสิ้นไปโดยปริยาย และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็จะอำลาไปจากเวทีการเมืองอย่างสง่างาม เพราะได้ทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว
แต่ทว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 วางกฎเกณฑ์ กติกาให้วุฒิสภามีอำนาจหน้าที่ร่วม ในการลงคะแนนคัดเลือกตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วย และสมาชิกวุฒิสภาก็แต่งตั้งโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรสช. ก็เท่ากับว่าวุฒิสภาจะต้องสนับสนุนผู้มีพระคุณที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้ปฏิเสธมิให้ชื่อของตนอยู่ในรายชื่อผู้ที่จะเข้าแข่งขันตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองต่างๆ ก็เท่ากับว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังมีความประสงค์ที่จะอยู่ในสนามการเมืองของไทย หรือมองในอีกแง่หนึ่งว่าการขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น มีการรู้กันแต่ต้นว่าจะตอบสนองให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
การนี้ก็สะท้อนว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังมีความอยากในอำนาจ และยังมีความทะเยอทะยานที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งเหตุการณ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้น มาบัดนี้ในคาบปี 2564-2565 ก็ถึงวาระที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังมิได้ออกมาพูดจาให้แน่ชัดว่า จะล้างมือจากการเมืองหรือไม่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีข่าวคราวว่า การเป็นนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อไปอีกนั้นจะเกินจำนวน 8 ปี ที่กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ระบุไว้หรือไม่ คือถ้านับการเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่สมัย รสช. ก็จะเกิน 8 ปีแน่นอน แต่ถ้าใช้หลักการว่าไม่มีการย้อนหลังไปก่อนกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 ความเป็นนายกรัฐมนตรี 5 ปี ในช่วงเป็น รสช. ก็ไม่นับรวม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นนายกรัฐมนตรีแค่ 3-4 ปี ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 เท่านั้น และฉะนั้นก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีไปได้ 4-5 ปี อีกต่อไปได้
ในระหว่างนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ดูทำตัวเป็นนักการเมืองที่ช่ำชองและมีชั้นเชิง ตั้งแต่การใช้ระบบทวิตเตอร์เข้าถึงประชาชน การออกไปเยี่ยมพบประชาชนจากเหตุการณ์น้ำท่วม การไปเป็นประธานการฉีดวัคซีนโควิด-19 กับเยาวชน และการปรากฏตัวก็จะถูกห้อมล้อมด้วยบรรดานักการเมืองที่อยากจะแสดงความจงรักภักดี หรือการเสนอหน้า ไปจนถึงข่าวคราวว่าจะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองสำรองเพื่อเป็นฐานเสียงในสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น ทั้งหมดนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คงจะลืมคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับตนเองเมื่อทำการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อปี 2557 และคำมั่นสัญญาต่อประชาชนพลเมืองและความคาดหวังว่าจะเข้ามาใช้อำนาจของปวงชนชาวไทยเป็นการชั่วคราว เฉพาะกิจเฉพาะกาล แล้วก็จะอำลาจากเวทีการเมืองไป แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดูจะติดกับกับลาภยศและคำสรรเสริญเยินยอไปเสียแล้ว มิได้เป็นผู้ที่อาสาเข้ามาแก้ไขบ้านเมือง แต่กลับกลายเป็นผู้แสวงหาอำนาจ เพื่ออำนาจ เพื่ออัตตาของตนเองเป็นสำคัญ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คงจะมีความชื่นชมต่อตนเองที่ต่ออายุอำนาจไปได้เรื่อยๆ แต่คงจะลืมถามคำถามกับตนเองว่า ได้ใช้อำนาจไปเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองอย่างไร ได้มีผลงานที่จับต้องได้อย่างไร หรือจะพึงพอใจแค่ตรึงความเดือดร้อนของประชาชนด้วยนโยบายและมาตรการประชานิยมไปวันๆ หนึ่ง ด้วยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการกู้หนี้ยืมสินและโยนภาระไปให้กับอนุชนรุ่นหลัง และการขจัดซึ่งความเห็นต่างและอารยะขัดขืนใดๆ ด้วยการใช้กฎหมายของกำลังฝ่ายความมั่นคง และองค์กรยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการสยบ โดยไม่มีการพูดจา ไม่มีมิตรจิตมิตรใจต่อกัน โดยไม่รวมการละเว้นในการที่จะใช้อำนาจเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ และอภัยต่อกันและกัน เพื่อจะได้เสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติเพื่อจะได้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความสมัครสมานสามัคคี
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คงมองแต่ที่ความสำเร็จของการมีอำนาจวาสนาของตนเอง แต่ดูจะมืดมนกับความสูญเสีย และถดถอยของประเทศโดยองค์รวม ที่ตัวเองมีส่วนสำคัญที่ให้เป็นเช่นนี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี