ขบวนการสามนิ้ว โจมตีในหลวง ร.9 อาศัยเฟคนิวส์ ที่อ้างว่า “เบิกเนตร”
แต่ชอบอ้างมั่วๆ จับแพะชนแกะ ผูกโยงแต่เรื่องเป็นนิยาย ปะติดปะต่อแหกตากันเอง สนองตอบต่ออคติและความเกลียดชัง แม้กระทั่งเอาข่าวลือมามั่วสรุปว่าเป็นข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์
ล่าสุด ดร.ไชยันต์ ไชยพร แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่ศึกษาค้นคว้าข้อเท็จจริงมาหักล้าง จับเท็จพวกบิดเบือนจาบจ้วงมาหลายกรณีแล้ว ล่าสุด ได้โพสต์ถึงอีกหนึ่งกรณีที่มีการนำไปจาบจ้วงรุนแรงก่อนหน้านี้ โดยนำเสนอบทความที่น่าสนใจ ยืนยันว่า ร.9 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสวรรคตของ ร.8 ระบุว่า
....
“วันที่ ๑๓ ตุลาคมฯ คุณ “ช้างเผือก” ส่งบทความนี้ มาให้ผม และเขียนว่า “วันนี้ผมว่าคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเผยแพร่บทความนี้ครับ”
หลักฐานที่สนับสนุนว่าพระอนุชาไม่เกี่ยวข้องกับการสวรรคตรัชกาลที่ 8
พระอนุชาเสด็จตามหลังพระราชชนนีกับนายชิต สิงหเสนี มาติดๆ โดยเสด็จมาจากฝั่งตะวันตกของพระที่นั่งภายหลังเกิดเสียงปืนดังขึ้น
นายชิต สิงหเสนี จำเลยที่ 2 และนายบุศย์ ปัทมศริน จำเลยที่ 3 ที่ได้ให้การตรงกันมาตลอดตั้งแต่เกิดเหตุเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจนกระทั่งจำเลยทั้งสามถูกประหารชีวิต โดยทั้งคู่ให้การว่า ในขณะที่เกิดเสียงปืนดังขึ้นมาจากในห้องพระบรรทมนั้น ไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องพระบรรทมนอกจากพระองค์เอง
นอกจากนี้ทั้งคู่ยังให้การสอดคล้องกันว่า หลังจากพระอนุชาเสวยพระกระยาหารเช้าและเสด็จมาที่หน้าห้องพระบรรทมนั้น ก็เพียงแต่ถามพระอาการของสมเด็จพระเชษฐาเท่านั้น เสร็จแล้วก็เสด็จกลับไปที่ห้องบรรทมของพระองค์ที่อยู่ฝั่งตะวันตกของพระที่นั่งบรมพิมาน เป็นเวลาอย่างน้อย 10 นาทีจึงเกิดเสียงปืนดังขึ้นมาจากห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
นอกจากนี้ ยังมีพยานบุคคลหลายปากให้การสอดคล้องในทำนองเดียวกัน ดังนี้
นายฉลาด เทียมงามสัจ เห็นพระอนุชาเสด็จมาจากทางห้องสมเด็จพระบรมราชชนนีและผ่านมาทางมุกหน้าพระที่นั่งไปยังห้องบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
นายฉลาด เทียมงามสัจ ให้การครั้งแรกในศาลกลางเมือง สอดคล้องเช่นกันกับการให้การต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2492 มีความตอนหนึ่งว่า
“เมื่อเสียงปืนดังประมาณ 3 นาที ข้าพเจ้าได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่ง เสียงนั้นมาจากทางเฉลียงหลัง แล้วข้าพเจ้าจึงมองลอดช่องประตูห้องออกไป เห็นนายชิตวิ่งผ่านไปทางห้องบันไดใหญ่ด้านหลัง บ่ายโฉมหน้าไปทางห้องพระบรรทมของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้วเลี้ยวไปทางเฉลียงนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นมีใครเดินหรือวิ่งตามหลังนายชิตไปเลย ข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้นก็ยังไม่นึกอะไร คงเช็ดจานต่อไป ประมาณ ๑ นาที ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งมาทางเฉลียงด้านหลัง ข้าพเจ้ามองไปเห็นสมเด็จพระราชชนนีวิ่งผ่านห้องเสวยพระกายาหารเช้าไป มีนายชิตจำเลยวิ่งตามหลังไปติดๆ สมเด็จพระราชชนนีกับนายชิตจำเลยวิ่งผ่านหน้าห้องเสวยเข้าไปทางห้องทรงพระสบาย ซึ่งเป็นทางเดียวกับที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จผ่านเมื่อตอนที่เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้วในตอนเช้านั้นเอง ครั้นต่อมาประมาณไม่ถึงนาที เมื่อสมเด็จพระราชชนนีกับนายชิตจำเลยได้ผ่านลับตาไปแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชดำเนินมาอย่างเร็วๆ ผ่านไปทางเดียวกับที่สมเด็จเสด็จผ่านไปนั้นเอง”
สอดคล้องกับคำให้การของนายฉลาด เทียมงามสัจที่ให้การต่อศาลกลางเมืองไว้เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2489 มีความตอนหนึ่งว่า
“เมื่อในหลวงองค์ปัจจุบันเสด็จไปทางห้องพระบรรทมประมาณ ๑๐ นาทีก็มีเสียงปืนดังขึ้น...ขณะนั้นพยานยืนอยู่ที่หน้าพระที่นั่งชั้นบนข้างโต๊ะเสวย ...ต่อมาประมาณ๒ นาที ได้ยินเสียงคนวิ่ง แล้วแลเห็นนายชิตวิ่งออกมาจากห้องบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศ นายชิตวิ่งไปทางห้องสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน คือวิ่งไปทางเฉลียงหลัง พยานเห็นนายชิตวิ่งไปคนเดียวไม่เห็นมีใครวิ่งตามนายชิตไป...
...ต่อจากที่นายชิตวิ่งไปสักครู่หนึ่งประมาณอย่างช้า ๒ นาที ก็เห็นสมเด็จพระราชชนนีทรงวิ่งมาทางที่พยานยืนอยู่ เท่าที่พยานจำได้ ก็เห็นสมเด็จพระราชชนนีเสด็จมา แล้วมีคุณจรูญตามมา และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน”
คำให้การของนายฉลาด เทียมงามสัจนั้นสอดคล้องกับคำให้การของนางสาวจรูญตะละภัฏ ที่ให้การไว้ต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2491 มีใจความว่าในขณะที่นางสาวจรูญ ตะละภัฏ กำลังจะเข้าห้องบรรทมของสมเด็จพระราชชนนีเพื่อทำพระแท่นนั้น ก็ได้ยินเสียงปืนดังมาจากห้องบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อานันทมหิดล
นางสาวจรูญเข้าใจว่ามีคนเล่นปืน จึงเดินไปทางเฉลียงหน้าเพื่อดูว่าใครยิงปืน แต่มองไม่เห็นใครและจะต้องทำงานซึ่งค้างอยู่ จึงเดินกลับไปเพื่อจะทำพระแท่น ขณะนั้นเองก็เห็นนายชิต สิงหเสนีวิ่งตามหลังเข้าไปในกราบทูลสมเด็จพระราชชนนีว่า “พระเจ้าอยู่หัวทรงยิงพระองค์”
หลังจากนั้น สมเด็จพระราชชนนีทรงวิ่งไปตามเฉลียงด้านหน้า ขณะที่นางสาวจรูญจะวิ่งตามไปนั้นเห็นในหลวงองค์ปัจจุบัน (รัชกาลที่เก้า) ออกช่องประตูตรงห้องบันไดเล็กมาพบกับนางสาวจรูญที่เฉลียงด้านหน้า
และทรงรับสั่งถามว่า “เกิดอะไรกัน”
นางสาวจรูญจึงกราบทูลว่า “พระเจ้าอยู่หัวทรงยิงพระองค์”
หลังจากนั้น พระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน(ร.9) ก็ทรงวิ่งไปตามเฉลียงด้านหน้าพร้อมกับนางสาวจรูญ ตะละภัฏ
สอดคล้องกับคำให้การในศาลอาญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่รับสั่งเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2493 มีความตอนหนึ่งว่า
“ระหว่างนั้นซึ่งเป็นเวลาประมาณ 9.25 น. ได้ยินเสียงคนร้อง ได้ยินในขณะที่อยู่ในห้องเครื่องเล่น เสียงคนร้องเป็นเสียงใครจำไม่ได้ ได้ยินเสียงร้องแล้ว ฉันได้ออกจากห้องเครื่องเล่นไปทางเฉลียงด้านหน้า โดยผ่านไปทางห้องบันได ได้พบนางสาวจรูญที่หน้าห้องข้าหลวง ถามนางสาวจรูญว่า มีอะไร เกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้รับตอบว่า “ในหลวงยิงพระองค์” ฉันได้ยินดังนั้นก็ตรงไปยังห้องบรรทมในหลวงรัชกาลที่ ๘”
จากคำให้การในศาลกลางเมือง ไม่มีพยานบุคคลสังเกตเห็นคราบเลือด หรือเศษเนื้อเยื่อสมองเปรอะเปื้อนที่ส่วนใดของพระวรกายของพระอนุชา
เมื่อกระสุนปืนผ่านเข้าศีรษะจะเกิดเลือดกระเซ็นจากบาดแผลทั้งในทิศทางที่กระสุนวิ่งไป (forward spatter) และทิศทางย้อนกลับ (back spatter) หากมีผู้อื่นยิงที่ศีรษะในระยะประชิดติดผิวหนังย่อมที่จะต้องมีรอยเลือดกระเซ็นติดบริเวณร่างกายผู้ยิงจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีนี้เป็นการยิงในระยะประชิดติดผิวหนัง
ดังนั้น หากมีใครก็ตามที่ยืนและยิงในระยะประชิดย่อมที่จะต้องเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเศษเนื้อเยื่อสมอง ซึ่งบุคคลทั่วไปย่อมสามารถสังเกตได้ชัดเจน แต่ปรากฏว่าไม่มีพยานบุคคลใดๆ เลยที่สังเกตเห็นว่าพระอนุชามีคราบเลือดและเศษเนื้อเยื่อสมองเปรอะเปื้อนตามลำตัว
พระอนุชาทรงสนับสนุนให้มีการชันสูตรพระบรมศพอย่างละเอียด
พระอนุชาทรงให้ถ่ายรูปประกอบการชันสูตรพระบรมศพไว้มากๆ โดยปรากฏข้อมูลจากหนังสือ “เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต” ที่เขียนโดยนายแพทย์สุด แสงวิเชียร แพทย์ผู้ทำการชันสูตรพระบรมศพ ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า
“ท่านคณบดีจึงขอให้เตรียมเครื่องมือสำหรับการชันสูตรไปด้วยและกล่าวว่าได้ทราบจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชว่า ต้องการให้ถ่ายรูปไปมากๆ และให้ละเอียดถี่ถ้วนเพื่อเป็นหลักฐานจนถึงส่งไปพิสูจน์ได้
ณ ต่างประเทศ”
นอกจากนี้ พระอนุชายังมีพระราชดำรัสให้แพทย์ต่างชาติเข้าร่วมชันสูตร โดยปรากฏหลักฐานจากหนังสือ “เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต” เป็นจดหมายที่พระยาลัดพลีฯ ประธานคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เขียนเชิญพันเอกไดเบอร์ก แพทย์ชาวอเมริกันเพื่อร่วมเป็นกรรมการชันสูตรพระบรมศพโดยระบุว่าเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงอนุญาตให้เอ็กซเรย์พระบรมศพ เพื่อให้ได้ผลการตรวจพระบรมศพที่ดีที่สุด โดยปรากฏข้อมูลในศาลกลางเมืองที่หลวงพิณพากย์พิทยาเพท คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลให้การไว้ตอนหนึ่งว่า
“คุณหลวงนิตย์ฯ มาหารือกับพยานเรื่องเอ็กซเรย์...เมื่อปรึกษากันเรื่องเอ็กซเรย์แล้วจึงตกลงกันว่าสมควรจะเอ็กซเรย์พระเศียร คุณหลวงนิตย์ฯ จึงไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันเพื่อขออนุญาต สักครู่ก็กลับลงบอกว่าทรงอนุญาต”
และมีความอีกตอนหนึ่งว่า
“เพราะวันก่อนได้ทราบจากเลขานุการคณะกรรมการสอบสวนฯ ว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หาเครื่องเอ็กซเรย์ไปหลายๆ เครื่อง เพื่อจะทำการตรวจให้ได้ผลดีที่สุดในเรื่องนี้
พระอนุชาทรงไม่ขัดข้องหรือขัดขวางการสอบสวนด้วยประการใดๆ
ข้อมูลจากหนังสือ “บันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘” ระบุว่า ระหว่างที่คณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์สวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลหรือศาลกลางเมือง ทำการสอบสวนสมเด็จพระราชชนนีนั้น พันตำรวจโทประเสริฐ ลิ่มอักษร ได้กราบทูลถามว่า “ข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่อยากจะทูลถามแต่เป็นความจำเป็น พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ”
พระอนุชาก็รับสั่งขึ้นมาว่า “ให้ถามต่อไปอีก”
และไม่ปรากฏข้อมูลว่าพระองค์ทรงขัดขวางการสอบสวนด้วยประการใดๆ”
....
ขอบคุณอาจารย์ไชยันต์ที่นำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์
ใครสนใจการจับเท็จพวกบิดเบือนจาบจ้วง เชิญไปติดตามอ่านในเฟซบุ๊ค Chaiyan Chaiyaporn
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี