นับตั้งแต่เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ลับลวงพราง” ขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ช่วงก่อนและหลังรัฐประหาร 19 กันยายน2549 แล้ว สิ่งที่เรียกว่าลับลวงพรางนั้นก็กลายเป็นค่านิยมใหม่ ที่บรรดาผู้มีอำนาจในบ้านเมืองได้นำสิ่งนี้มาใช้กับประชาชนกันอย่างกว้างขวาง
และใช้กันในทุกเรื่องทุกราว ตั้งแต่เรื่องการเมืองการปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน การเงิน การคลังจนกระทั่งสิ่งที่เรียกว่าลับลวงพรางนั้นซึมซ่านไปในทุกปริมณฑลและบริบทต่างๆ ในบ้านเมือง จนในที่สุดก็เกิดความแตกแยกแตกสามัคคีทะเลาะเบาะแว้งกันเอง ถึงขนาดอาจสิ้นชาติได้เพราะความแตกสามัคคีนั้น
เพราะสิ่งที่เรียกว่าลับลวงพรางนั้นเมื่อใช้กันจนพร่ำเพรื่อก็เกิดความฟั่นเฟือนไขว้เขว และเกิดความซับซ้อนซ่อนเงื่อน หาความแน่ชัดในสิ่งใดๆ ไม่ได้ ในทุกสิ่ง
มีจริงกลับมีเท็จ ในหลายสิ่งที่เป็นเท็จก็กลายเป็นมีความจริงแฝงอยู่ จนกระทั่งคนทั้งหลายไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จจึงเป็นเหตุแห่งความสับสนและความแตกแยกแตกสามัคคีในบ้านเมือง
สภาพความฟั่นเฟือนสับสนที่มีจริงในเท็จ มีเท็จในจริง จนไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ จึงทำให้คนทั้งหลายเชื่อถืออะไรในเรื่องใดๆ ไม่ได้เลย แต่ไม่เพียงเกิดขึ้นในภาคประชาชนเท่านั้น กลับเกิดขึ้นในแวดวงของผู้มีอำนาจทั้งหลายด้วย
เพราะเหตุนี้ไม่ว่าวงการไหนๆ จึงไม่มีใครรู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ จึงพากันเข้าใจตีความกันไปตามความเข้าใจของตนจนเกิดความสับสนวุ่นวาย และในที่สุดก็ทะเลาะเบาะแว้งกระทั่งเกิดความแตกแยกแตกสามัคคีกันอย่างกว้างขวาง
ที่ใดมีความแตกแยกแตกสามัคคี ที่นั่นย่อมมีหายนะบังเกิดขึ้น เพราะความแตกแยกแตกสามัคคีเป็นเหตุแห่งความไม่ไว้วางใจ เป็นเหตุแห่งการทะเลาะเบาะแว้ง เป็นเหตุแห่งการทำลายล้างกันและกัน
ดังนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตรัสสอนอานิสงส์แห่งความสามัคคีว่าเป็นที่ตั้งแห่งประโยชน์สุขทั้งปวง และเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯให้สร้างตราแผ่นดินขึ้น ก็ทรงโปรดให้จารึกบทพระคาถากำกับตราแผ่นดินว่า “สัพเพสัง สังฆภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา”
ซึ่งแปลว่าการแผ่นดินนั้นจักสำเร็จประโยชน์ได้ด้วยความสามัคคี และได้ใช้ตราแผ่นดินนี้เป็นตราราชการมาช้านาน จนกระทั่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ก็ยกเลิกการใช้ตราแผ่นดินนี้เสีย
มิหนำซ้ำ ยังให้ใช้สิงสาราสัตว์ต่างๆ มาเป็นตราประจำกระทรวงทบวงกรม และอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้จิตวิญญาณสิงสาราสัตว์เหล่านั้นเข้าสิงสู่ความคิดจิตใจของผู้เกี่ยวข้อง จนหลายครั้งหลายหนก็มีการกระทำกับราษฎรเยี่ยงสิงสาราสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก
ในท่ามกลางความสับสนไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จเช่นนี้จึงเกิดความระส่ำระสายทุกหย่อมหญ้า ไม่เว้นในวงการอำนาจและวงการเมือง ซึ่งบัดนี้ต่างก็มีความสับสนอลเวงอลหม่านหาความแน่นอนอันใดมิได้
แต่ทว่าในท่ามกลางความสับสนอลเวงเหล่านั้น ความจริงก็ปรากฏให้เห็นดุจดังดวงตะวันที่ทอแสงยามเช้าขึ้นทางด้านตะวันออก นั่นคือบ้านเมืองของเราในยามนี้เต็มไปด้วยสารพัดวิกฤต ทั้งวิกฤตทางการเมือง วิกฤตการปกครอง วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตจากความอดอยากยากจน วิกฤตจากโรคภัยไข้เจ็บและการเบียดเบียนกัน จนไม่รู้จะหาทางออกกันทางไหน
และมีความชัดเจนเช่นเดียวกันว่าการเมืองไทยในวันนี้แบ่งออกเป็นสองขั้วชัดเจน คือขั้วรัฐบาลและขั้วต่อต้านรัฐบาล
โดยขั้วรัฐบาลนั้นก็มีพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ และพยายามแสดงอาการว่าจะเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมจิตร่วมใจไปด้วยกัน แต่จะไปกันถึงวันเลือกตั้งหรือไม่ก็ยากที่จะเดาใจกันได้
ส่วนขั้วฝ่ายต่อต้านรัฐบาลนั้น ในสภาก็มีพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรคเสรีรวมไทย ซึ่งได้มีการออกแบนเนอร์ประกาศเป็นขั้วฝ่ายค้าน และแนะนำผู้สนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลว่าใครชอบพรรคไหนก็เลือกพรรคนั้น
แล้วก็ผูกมัดขั้วรัฐบาลไว้อีกชั้นหนึ่งว่า ใครสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล ต้องการให้บ้านเมืองเป็นอย่างที่เป็นอยู่สืบไปก็ให้เลือกขั้วรัฐบาล จะชอบพรรคไหนในฝ่ายรัฐบาลก็ให้เลือกเอาตามใจชอบ
ส่วนการเมืองนอกสภานั้นก็มีมวลชนเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายต่อต้านรัฐบาล โดยเฉพาะนักเรียน เยาวชน นิสิต นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ กับฝ่ายที่อ้างว่ามีความจงรักภักดี ประเภทชูธงเหลือง ล้มธงเหลือง คือแทนที่จะอ้างความจงรักภักดีแล้วทำการปกป้องพระบรมเดชานุภาพ ปกป้องสถาบัน กลับไปปกป้องนักการเมือง ปกป้องการโกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวง และผลักไสคนทั้งหลายที่มีความเห็นต่างให้เป็นพวกล้มเจ้า จงใจสร้างศัตรูให้สถาบันเป็นรายวัน
เมื่อสภาพเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าการต่อสู้ทางการเมืองนับจากนี้ไปก็จะเป็นการต่อสู้ระหว่างสองขั้วการเมือง คือขั้วที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับขั้วที่ต่อต้านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นการแบ่งสนามกันเล่น และในสนามที่แต่ละฝ่ายเล่นนั้นก็แบ่งคะแนนกันตามสบายใจ
นี่จึงทำให้ปัญหาการต่อสู้ทางการเมืองนับจากนี้ไปเป็นการต่อสู้ในมิติใหม่ทั้งในและนอกสภา ระหว่างพวกที่ต้องการดำรงคงสภาพที่เป็นอยู่นี้ให้ดำเนินต่อไป กับพวกที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องการให้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่มาบริหารบ้านเมืองต่อไป
ก็สุดแท้แต่ใครจะเลือกทางไหน อยากให้บ้านเมืองเหมือนเดิมก็เลือกอย่างเก่า อยากเปลี่ยนแปลงก็เลือกอย่างใหม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี