เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2564 นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการที่สื่อมวลชนหลายแขนงได้นำข้อวิเคราะห์ของตนเองจากการกล่าวในการประชุม สส.ภาคใต้ที่ จ.พัทลุง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะ ต้องชนะในภาคใต้ก่อน และตนเชื่อมั่นว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมีกระแสที่ดีขึ้นตามลำดับ ท่านจุรินทร์ จะเป็นคนหนึ่งที่จะเป็นแคนดิเดตว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปแน่นอน ก็ด้วยเหตุผลหลัก 5 ประการ
1) สถานการณ์การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมามีกระแสความสงบ จบที่ลุงตู่ วันนี้ชัดเจนว่าความสงบที่ยั่งยืนต้องเกิดจากบ้านเมืองที่เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์เป็นประมุขเท่านั้น ซึ่งเป็นอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ชัดเจนตลอดมา
2) ระบบการเลือกบัตรเบอร์เดียวแบบสัดส่วนผสม มีพรรคการเมืองส่งคนมาสมัคร 30-40 คน ต่างรุมด่าพรรคประชาธิปัตย์เพื่อหวังส่วนแบ่งคะแนนไปให้พรรคตนเอง หลังจากวันเลือกตั้งต่างสาบสูญไปแล้ว และต่อไปหากใช้ระบบการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ พรรคเฉพาะกิจคงหายไปเยอะ โอกาสพรรคของเรา คนของเรา เป็นเสรีภาพของประชาชนผู้เลือกมากขึ้น อิทธิพลการซื้อเสียงจะลดลง
3) การร่วมรัฐบาลที่ผ่านมาเป็นการยืนยันหลักการการยึดมั่นประโยชน์ของประเทศ มากกว่าผลประโยชน์ของพรรค หรือตนเอง พรรคจึงต้องทำหน้าที่ประคับประคองให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ และบัดนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงให้เห็นว่าสามารถขับเคลื่อนนโยบายว่าทำได้ไวทำได้จริงเช่น นโยบายด้านเศรษฐกิจ หรือนโยบายทางการเมืองที่มุ่งมั่นจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น เป็นต้น
4) การประกาศของมวลสมาชิกพรรคและข้อเสนอของประชามติหลายสำนักที่สนับสนุนให้ท่านจุรินทร์ลักษณวิศิษฎ์ เป็นผู้ที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นกระแสที่มีพื้นฐานทางทฤษฎีสนับสนุนชัดเจน อาทิ พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ การเสนอตัวนายกรัฐมนตรีจึงชัดเจน ไม่ต้องไปหาเหมือนพรรคอื่น ท่านจุรินทร์เป็นนักการเมืองน้ำดีคนหนึ่งของประเทศ มีประสบการณ์ทางการเมือง ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติมามากที่สุด
5) พรรคประชาธิปัตย์อยู่ในช่วงปรับปรุงพัฒนาในทุกด้าน ตามยุทธศาสตร์ 3 ขา ขารัฐมนตรี ขาพรรค และขา สส.ในสภา ที่แสดงบทบาทที่ชัดเจน กว่าทุกพรรคในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะข้อเสนอเสนอทางยุทธศาสตร์ ทั้งเรื่องการประชาสัมพันธ์ โซเชียลมีเดีย และยุทธศาสตร์การสร้างพรรคเสรีนิยม ที่เป็นพรรคการเมืองสากล
ที่แท้จริงต่อไป
นายชินวรณ์กล่าวว่า หวังว่าข้อเสนอของตนจักเป็นข้อเสนอที่ได้รับการวิเคราะห์วิจารณ์จากทุกฝ่ายด้วยความจริงใจ และเชื่อมั่นศรัทธาในมวลสมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนทั้งหลายว่าทุกคนเป็นนักประชาธิปไตย แต่เมื่อถึงเวลาวิกฤตหรือจะต้องสู้ศึกไปด้วยกัน ทุกคนจะรวมพลังกันด้วยอุดมการณ์ที่มั่นคงเสมอมาและตลอดไป
เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดของคุณภูมิสรรค์และของคุณชินวรณ์จบแล้ว ผมขออนุญาตตอบรับคำเชิญ ด้วยการร่วมวิเคราะห์วิจารณ์ด้วยความจริงใจดังต่อไปนี้
ประการที่หนึ่ง :
ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแน่ แต่ในความเห็นผม “จุดขาย” ที่ต้องชูคู่ขนานไปด้วยกัน คือ “ทีมประชาธิปัตย์” หรือ “ทีมจุรินทร์” การสื่อสารต้องเปลี่ยนทิศจากการออกมา “ยกยอ” คุณจุรินทร์ เป็นการชื่นชมคุณจุรินทร์ในฐานะ “ผู้นำทีม” ที่มีศักยภาพ และพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะสถาบันทางการเมืองก็มี“คณะทำงาน” หรือทีมที่แข็งแรง พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยรอบด้าน โดยที่คุณจุรินทร์มีศักยภาพในการเป็น“ผู้บัญชาการการขับเคลื่อน” ที่มีประสิทธิภาพ และเข้าใจสถานการณ์ของประเทศ
• คุณจุรินทร์ นำพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลตามมติของสมาชิก เพราะเห็นแก่ “บ้านเมือง” และ “ให้คำตอบ” แก่บ้านเมืองที่ใช้เวลาหลังรู้ผลเลือกตั้งหลายเดือนแล้ว ก็ยังไม่มีรัฐบาลเสียที ขณะที่ประชาชนรอการแก้ไขปัญหามากมายอยู่ และหากเลือกจะเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” ตามเสียงเรียกร้อง ในทางการเมือง ประชาธิปัตย์จะเป็นแค่ “พรรคฝ่ายค้านลำดับที่ 3” ต่อจากพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ในเวลานั้น ซึ่งใช่ว่าการตรวจสอบ การล่ารายชื่อ และอื่นๆ จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมจะถูกจัดกลุ่มเข้ากับ “การเมืองอีกขั้ว” ซึ่งโดยจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ ทำเช่นนั้นไม่ได้ แม้จะถูกตำหนิเยาะเย้ย ตั้งคำถาม ฯลฯ สารพัด คุณจุรินทร์ก็มีความอดกลั้นไม่ตอบโต้ แต่เลือกใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การยอมถูกกล่าวหาว่าละทิ้งอุดมการณ์บางอย่างที่พรรคได้หาเสียงไว้ก่อนหน้านั้น ก็เพื่อ “แลกกัน” กับการได้ผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่พรรคออกแบบไว้อย่างดี ที่ในที่สุดก็จะเห็นว่า นโยบาย “ประกันรายได้” ให้แก่เกษตรกรนั้น เป็น “เสาค้ำยันชีวิต” ให้ไม่ทรุดลงไปกองกับพื้น ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจากโรคระบาดโควิด-19 ตลอดสมัยการเป็นรัฐบาลมา ไม่มีปรากฏการณ์นำพืชผลทางการเกษตรมาเทเพราะราคาตกอย่างที่ผ่านๆ มาและภาคการเกษตรกลายเป็น “หลังพิง” ของคนตกงาน มี “บ้านหลังแรกและหลังสุดท้าย” คือ ชนบท ไว้เป็นที่พักจากสถานการณ์โรคระบาดและผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมาติดๆ
• เมื่อเข้าร่วมรัฐบาลแล้ว สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำ คือ ทำงานร่วมกันอย่างมียุทธศาสตร์ ไม่เล่นการเมืองหวือหวา และทำงานจริงจัง โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ใช้หลักการ “การตลาดนำการผลิต” จึงเห็นว่ากระทรวงพาณิชย์ทำงานหนักมากในการเจรจาเปิดตลาดและช่องทางการค้าใหม่ๆ หาออเดอร์มาให้ภาคการเกษตร เร่งรัดศักยภาพของทูตพาณิชย์ให้ร่วมกันเป็นเซลส์แมน หาโอกาสให้แก่ประเทศและเกษตรกร เปิดด่านการค้าต่างๆ สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่การค้าตามแนวชายแดน ฯลฯ การต่อรองจนได้กระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรและสหกรร์มาอยู่ในมือ จึงไม่ได้มุ่งเน้นความเป็น “ช้างเหยียบนา พระยาเหยียบเมือง” แต่เน้นโอกาสทำงานเพื่อแก้ปัญหาของประชาชนเป็นหลัก และจัดสรรโอกาสการทำงานให้แก่ “ทีมประชาธิปัตย์” ในทุกระดับ มากกว่าการมุ่งเน้นให้มีตำแหน่งโก้ๆ
• ด้วยเหตุนี้ ผมจึงอยากให้พรรคประชาธิปัตย์ฉายภาพเหล่านี้ให้สังคมเห็นให้ชัดๆ อย่ามัวแต่ยก “หัวหน้าพรรค” เป็น “วีรบุรุษ” อยู่คนเดียว แต่ทำให้คนเห็น
“ทีมงานและแผนงานที่แข็งแกร่ง” ของ “จุรินทร์” เพื่อให้จุรินทร์เป็น “คนธรรมดา” คนหนึ่ง ที่ไม่ได้คิดจะโอ้อวดอะไรเกินคน แต่เขาเป็น “หัวหน้าคน” ที่มีทีมสนับสนุนที่แข็งแรงมาก และสามัคคีพร้อมเพรียงกันเพื่อจุดหมายเดียวคือ พัฒนาโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีกินดี ตามคำขวัญที่เคยหาเสียงไว้แต่ถูกทิ้งไปแล้ว เพราะเป็นมรดกจากทีมหัวหน้าพรรคคนเก่า คือ “แก้จน สร้างคน สร้างชาติ”
• เมื่อเห็นจุรินทร์ จงเห็น “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เลขาธิการพรรค และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ทำงานมากกว่าพูด เอาผลงานเฉลิมชัยมาพูด
แล้วสิ่งที่เฉลิมชัยกับทีม เช่น นราพัฒน์ แก้วทอง อลงกรณ์ พลบุตร ทินกร อ่อนประทุม ฯลน ช่วยกันทำอยู่ จะ “ส่งเสียง”ออกมา แบบที่คนเห็น “ผลงาน” เห็น “ฝีมือ” และเห็น “ความหวัง” ต่อ ทีมประชาธิปัตย์/ทีมจุรินทร์ ซึ่งคือ ทีมประเทศไทย ทีมแห่งอนาคต ที่ทีมนี้ไม่ได้ปั่นกระแส“แบ่งแยกแล้วปกครอง” ไม่เมามันกับความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อบีบคนให้เลือกข้าง แต่เลือกสร้างกลไกแก้ปัญหา ลงมือแก้ปัญหา และพาประชาชนข้ามพ้นปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่เป็นรูปธรรม คือ ปัญหาปากท้อง โดยไม่เอาความต่างทางรสนิยมทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ให้เรื่องนั้นเป็นเสรีภาพทางความคิดของประชาชนแต่ละกลุ่มไป
ในความเป็นจริง “ทีมประชาธิปัตย์” พยายามค้ำจุนสถานการณ์บ้านเมืองมาโดยตลอดและมาพร้อมๆ กัน ไม่แข่งกัน “มีซีน” แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างแข็งขัน
เช่น ใครเคยเห็น ดร.สรรเสริญ สมะลาภา ออกมาอวดโอ่หาความดีความชอบในพื้นที่ข่าวบ้าง แต่เขาคือ “มือทำงาน”คือ “ทีมจุรินทร์อย่างชัดเจนมาก ผลักดันโอกาสทางการค้าผ่านการเจรจากับต่างประเทศ เดินทางเป็นตัวแทนไปประชุม หรือประชุมออนไลน์ เจรจาหาช่องทางให้แก่กระทรวงพาณิชย์มากมาย ซึ่งก็เหมือนกับนราพัฒน์ แก้วทอง ที่กระทรวงเกษตรฯ เหมือนกับ นาวาตรีสุธรรม ระหง, สุทธิ ปัญญาสกุลวงศ์, ดร.ธนวัฒน์ ปัญญาสกุลวงศ์ ที่กระทรวงพัฒนาสังคมแห่งความมั่นคงของมนุษย์ ที่ทำงานร่วมกับ รัฐมนตรีจุติ ไกรฤกษ์ เป็นอย่างดี
ประการที่สอง :
หากจะสแกนดู “ทีมประชาธิปัตย์” จริงๆ แล้ว ต้องเริ่มมาจาก นายชวน หลีกภัย พร้อมคณะทำงาน ที่มุ่งมั่นต่อการทำให้สภาเป็นที่น่าเชื่อถือศรัทธาของประชาชน และใช้ตำแหน่งประธานสภา รับทราบปัญหาและส่งต่อปัญหาของประชาชนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ ปฏิสธไม่ได้เลยว่า นายชวน หลีกภัย คือ เสาหลักหนึ่งใน “ทีมประชาธิปัตย์” ในความรับรู้และศรัทธาต่อพรรคของคนภายนอก แม้แต่นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ที่แม้ถอยออกจากการเมืองไป ก็อยู่อย่างนิ่งเงียบ หากต้องให้สัมภาษณ์ครั้งใด ก็กระทำอย่างระมัดระวัง ให้เกียรติ และไม่ทำให้พรรคถูกจับจ้องในทางเสียหาย
ทีมเล็กๆ แต่ทำงานจริงจัง อย่างทีม กองทุนฟื้นฟูเกษตรกร ที่มี อาจารย์ปุ๊-รัชดาภรณ์ แก้วสนิท ยุพราชบัวอินทร์อดีต สส.เพชรบูรณ์ ฯลฯ ก็ทำงานกันอย่างแข็งขัน เข้าถึงชาวบ้าน เข้าใจปัญหา และเคร่งครัดต่อหลักความยุติธรรม ซื่อสัตย์สุจริต จนควรที่จะหยิบยกมาสร้างความรับรู้ได้ในความเป็น “ประชาธิปัตย์เพื่อคนไทย” หรือ “ประชาธิปัตย์มืออาชีพ”
อาจจะกล่าวไม่ครบถึงทุกทีม แต่ขอให้รู้ว่า “ความแข็งแกร่ง” ของพรรค คือสิ่งขับเน้น “หัวหน้าพรรค” ดังนั้น เมื่อพูดถึงจุรินทร์ จงอย่าเห็นเพียงจุรินทร์ และอย่าชูแค่จุรินทร์ จงเห็นกองทัพประชาธิปัตย์ที่เต็มไปด้วยบุคลากรระดับมืออาชีพ มีใจ มีวิสัยทัศน์และมีจริยธรรม จงเห็นไปถึง เกียรติ สิทธีอมร, ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์, ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน, ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช, ปริญญ์ พานิชภักดิ์ และทีมเศรษฐกิจทันสมัย องอาจ คล้ามไพบูลย์ และทีม กทม. ฯลฯ ยุทธศาสตร์ 3 ขา
ขารัฐมนตรี ขาพรรค และขา สส.ในสภา ที่คุณชินวรณ์กล่าวมา จึงเป็น “แผนการทำงาน” แบบ “ทีมจุรินทร์” ที่คนไทยจะเชื่อมั่น และมอบหมายให้ทีมนี้ “เป็นหลัก” ในการบริหารประเทศ
ประการที่สาม :
ทีมประชาธิปัตย์จึงควรเดินออกจากบรรยากาศที่สังคมจะนิยามว่า “ยกยอปอปั้น” กันเอง มาสู่การสร้างความน่าเชื่อถือในนามพรรค เพราะสำหรับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว หัวหน้าเปลี่ยนได้ และเปลี่ยนมาเสมอ แต่หัวใจและจิตวิญญาณแบบประชาธิปัตย์นั้น ยังดำรงอยู่ คือ คนเก่า ผู้อาวุโส ยังคอยเติมเต็มประสบการณ์ให้
คนรุ่นใหม่ ยังเข้ามาเพิ่มพูนมุมมองตามยุคสมัย และจับมือกันทำงานด้วยใจ ด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความระมัดระหวัง
ประชาธิปัตย์ในเวลานี้ กับสถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้ เราไม่ใช่กองทัพที่เกณฑ์คนมารบกัน แต่เราเกณฑ์คนมารบกับปัญหา โดยเฉพาะ “คนที่เรามี” อยู่แล้วอย่างมากมาย ทั้งเก่าและใหม่ ซึ่งไม่ใช่คนที่แค่ “อยากมีตำแหน่งทางการเมือง” แต่อยากทำเพื่อบ้านเมือง ดังนั้นเชื่อมั่นในทีมประชาธิปัตย์ เชื่อมั่นในการนำทีมของหัวหน้าพรรค จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ กันนะครับ และนับจากนี้เพจของพรรค จะได้ทยอยเล่าให้คนไทนทั้งหลายได้ทราบว่าแต่ละทีมของเรา ในทุกกระทรวงและทุกหน่วยงานตลอดจนทีมของพรรคที่ทำงานกับสังคม เราทำอะไรกันบ้างเห็นผลอย่างไร และจะต่อยอดไปอย่างไร โปรดติดตามได้ในช่องทางต่อไปนี้ (แล้วก็บอกช่องทาง พร้อมกับจัดทีมสื่อสารขึ้นมาจัดการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน)
ประการที่สี่ :
ในพรรคเองก็ต้อง “เลิกเอาชนะกัน” จงช่วยกันรักษาพรรค ผู้มีอำนาจต้อง “ใจกว้าง” อย่าไหลตามกระแสการห้ำหั่นกันของกลุ่มต่างๆ จงหนักแน่น และช่วยจบปัญหา หนักนิดเบาหน่อย จงพูดจา ปรับความเข้าใจ ก่อนจะไปเสนอตัว “ฟื้นฟูประเทศไทย” ให้เริ่มจากฟื้นฟูภายใน ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
เพราะบ้านเมืองยุคนี้ ไม่ใช่ยุค “ข้ามาคนเดียว” ไม่ใช่ยุคจะอวดโอ่ชูใครเป็นฮีโร่ แต่คณะทำงานและแผนการทำงานที่จะทำให้คนเห็น แล้วเชื่อมั่นต่างหาก คือคำตอบ ไม่ใช่ยุคของ Who แต่เป็นยุคของ Team & How
และนั่นคือจุดอ่อนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เล่นการเมืองแบบ “ข้ามากับพี่กับน้อง” แต่ใช้พรรคพลังประชารัฐเป็นแค่พลทหาร สุดท้ายกลายเป็นนั่งร้านที่โยกคลอนเก้าอี้ตัวเอง ส่วน “พรรคทักษิณ” ก็อยู่ในสภาพ “ทำธุระให้นาย” มากกว่าทำธุระให้ประเทศชาติ
หากประชาธิปัตย์อ่านขาด สื่อสารดี และขจัดความวุ่นวายภายในแบบเปิดใจต่อกัน
วันนั้นแหละ ประชาธิปัตย์จะกลับมา!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี