ในประเทศที่มีสงคราม มีการปฏิวัติรัฐประหาร มีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง สื่อมวลชนมักตกเป็นเป้าหมายในการเชือดไก่ให้ลิงดู และเป็นที่น่าสังเกตว่าผู้สื่อข่าวที่ถูกจับกุม ถูกจับเป็นตัวประกันถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ส่วนใหญ่ไม่ใช่เป็นสื่อมืออาชีพอย่างแท้จริง
ความไม่เป็นมืออาชีพในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ารายงานข่าวไม่เป็นจับประเด็นไม่ถูก แต่ความไม่เป็นมืออาชีพในที่นี้คือสื่อหรือผู้สื่อข่าวที่มีวาระซ่อนเร้น ทำหน้าที่ไม่ตรงไปตรงมา เสนอข่าวด้านเดียวหรือเสนอข่าวโจมตีอีกฝ่าย ชื่นชมคู่ขัดแย้งมักทำให้เกิดการระแวงสงสัยในท่ามกลางความสับสนของสถานการณ์
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศโดยเฉพาะชาวตะวันตก มักตกเป็นตัวประกันระหว่างคู่ขัดแย้งเพราะสื่อทำตัวให้เป็นที่สงสัยหรือไม่ก็ทำตัวเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง จนทำให้อีกฝ่ายสงสัยว่าเป็นกระบอกเสียงหรือเป็นสายลับให้อีกฝ่ายหรือไม่
เพราะนักข่าวบางคนจำแนกไม่ออกว่าเป็นเอ็นจีโอ เป็นนักกิจกรรมทางการเมือง เป็นนักวิชาการหรือเป็นสื่อมวลชน หลายคนทำตัวเป็นผู้แสดงเอง (Players) ในท่ามกลางความขัดแย้ง ผู้สื่อข่าวแบบนี้ในทางสากลเขาเรียกว่าทำเกินหน้าที่ จึงตกเป็นผู้ถูกทำลายจากอีกฝ่ายของความขัดแย้ง
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 4 ต.ค. ว่านายแดนนี่เฟนสเตอร์ ผู้สื่อข่าวอเมริกันที่ถูกขังคุกในเมียนมาระหว่างพิจารณาคดีในข้อหาปลุกระดมยุยงให้เกิดการจลาจลวุ่นวายและข้อหาจัดตั้งสมาคมโดยผิดกฎหมาย (ถ้าเป็นเมืองไทยก็เปรียบเทียบได้กับข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร)
นายเฟนสเตอร์ตั้งตัวเป็นผู้อำนวยการ บรรณาธิการบริหารสื่อออนไลน์ Frontier Myanma หรือ “พรมแดนเมียนมา” ถูกจับกุมคาสนามบินเมื่อเดือนพฤษภาคม ขณะที่เตรียมขึ้นเครื่องบินหนีออกนอกประเทศ และถูกคุมขังในคุกอินเส่ง ตั้งแต่นั้นมาเพราะรัฐบาลทหารเมียนมาไม่ให้ประกันตัวระหว่างดำเนินคดีสองข้อหาดังที่กล่าวมา
และเมื่อวันที่ 3 ต.ค ที่ผ่านมาอัยการเข้าไปแจ้งข้อหาเพิ่มอีกหนึ่งข้อหาฐาน “ละเมิดกฎหมายคนเข้าเมือง” ตาน ซอ อ่อง ทนายของเฟนสเตอร์บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า “ลูกความของผมสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี แต่เครียดและกังวลที่ถูกฟ้องเพิ่มในข้อหาละเมิดกฎหมายคนเข้าเมือง” ตาน ซอ อ่อง กล่าวเสริมว่าข้อหา “ละเมิด ก.ม.คนเข้าเมืองหากศาลพิจารณาว่ามีความผิดมีโทษจำคุกห้าปี”
สิ่งที่สื่อมวลชนบ้านเราต้องทำความเข้าใจกับกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา สปป.ลาว และ กัมพูชาให้ดี เพราะเพื่อนบ้านเราสามประเทศนี้เข้มงวดเรื่องใช้วีซ่าผิดประเภทโดยเฉพาะสื่อมวลชนที่ขอวีซ่าในฐานะนักท่องเที่ยวแล้วไปรายงานข่าวถ้าเขาจับได้ถูกดำเนินคดีทันที
ปี 2535 ผู้เขียนได้วีซ่านักท่องเที่ยวเข้าเมียนมาเพราะเวลานั้นเมียนมาไม่ออกวีซ่าให้ผู้สื่อข่าวไปถึงย่างกุ้ง ผู้เขียนแอบไปสัมภาษณ์นายติน อู รองหัวหน้าพรรคเอ็นแอลดีและเป็นคนที่พูดในนามออง ซาน ซู จี ซึ่งอยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวภายในบ้านพัก
กลับมาถึงโรงแรม พอเขียนข่าวเสร็จก็ส่งข่าวทางอินเตอร์เนตโดยไม่รู้ว่าเวลานั้นสัญญาณอินเตอร์เนตผ่านกรมไปรษณีย์กลางของเมียนมาเพียงแห่งเดียว ส่งข่าวเสร็จกำลังจะนอนประมาณสามทุ่ม ทหารเมียนมาบุกมาถึงห้องพักพูดภาษาอังกฤษคำเดียว Pack คือสั่งเราเก็บของ
ทหารเมียนมานำผู้เขียนออกจากห้องพักนั่งรถตรงไปยังสนามบินนานาชาติเมืองย่างกุ้งแล้วสั่งให้เราเดินทางกลับกรุงเทพฯในเที่ยวบินแรกที่หาตั๋วเครื่องบินได้ ผู้เขียนต้องนอนตากยุงในลอบบี้สนามบินทั้งคืนและได้ที่นั่งเครื่องบินของสายการบินไทยกลับกรุงเทพฯตอน 11 โมงเช้าวันต่อมา ดีที่เป็นคนไทยถ้าเป็นฝรั่งทหารเมียนมาตั้งข้อหาละเมิดกฎหมายเข้าเมืองแล้วส่งเข้าคุกระหว่างดำเนินคดีไปแล้ว
ใน สปป.ลาว ผู้เขียนได้วีซ่าไปทำข่าว สปป.ลาว เป็นเจ้าภาพจัดประชุมอาเซียนซัมมิตครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทีมงานเราเพียงเดินออกไปทำข่าวนอกกรุงเวียงจันทน์ก็ถูกจับกุม เจ้าหน้าที่กรมการเมืองให้เหตุผลว่าเราได้วีซ่ามาทำข่าวการประชุมอาเซียนซัมมิตเท่านั้น โชคดีที่กรมการเมืองท้องถิ่นตักเตือนอยู่สามชั่วโมงเห็นว่าเป็นคนไทยก็ปล่อยตัวกลับโรงแรม
ในกัมพูชาเมื่อเดือน พ.ค. 2555 ผู้เขียนได้วีซ่าเข้ากัมพูชาพร้อมกับทีมข่าวชาวอินโดนีเซียสองคน แต่พอเดินทางไปถึงเขาพระวิหารฝั่งกัมพูชาถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองนำตัวไปส่งในค่ายทหาร แล้วกล่าวหาว่าผู้เขียนไม่ใช่นักข่าว แต่เป็นสายลับให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เราถูกจับกุมตัวอยู่ในดินแดนกัมพูชากว่า 20 ชม. ก็ได้ทูตอินโดนีเซียช่วยเจรจาให้ปล่อยตัวเพราะว่ามีนักข่าวอินโดนีเซียสองคนร่วมเดินทางไปด้วย ยกเรื่องนี้มาเล่าเพื่อให้นักข่าวไทยได้ระวังตัวในการทำข่าวในประเทศเพื่อนบ้านเพราะเจ้าหน้าที่ประเทศเหล่านั้นไม่หย่อนยานเหมือนในบ้านเรา
กลับมาเรื่องนักข่าวอเมริกันที่ติดคุกนานในเมียนมา ทนายความของเขา “ตาน ซอ อ่อง” ตั้งข้อสังเกตว่าอัยการเพิ่มข้อหาลูกความเขาเพียงหนึ่งวันหลังจากที่นักการทูตอเมริกันผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักเจรจาต่อรองให้ปล่อยตัวประกันมือฉมัง นายบิล ริชาร์ดสันได้พบกับพลเอกมิน อ่อง หล่าย ในกรุงเนปิดอว์ และข่มขู่ว่าจะมีมาตรการคว่ำบาตรเมียนมามากขึ้นหากไม่ปล่อยตัวนักข่าวอเมริกันและผู้ต้องขังโดยไม่ชอบธรรมทั้งหมด โดยนายริชาร์ดสันข่มขู่ว่าจะคว่ำบาตรทหารเมียนมาต่อหน้าพลเอกมิน อ่อง หลาย ซึ่งผิดวิสัยของสหรัฐอเมริกาที่มักจะกดดันทางสื่อในที่สาธารณะ ราวกับว่าเขารับงานรัฐบาลวอชิงตันมา
และคำขู่ของนายริชาร์ดสัน ก็สอดรับกับคำพูดของแจ็ค ซัลลีแวนที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว เมื่อคราวประชุมทางไกลกับรักษาการประธานาธิบดีรัฐบาลเงาเมียนมา นายดูวา ลาซิลา และ ซิน มาร์หม่องสองอาทิตย์ก่อนหน้า โดยนายซัลลีแวน เน้นว่าสหรัฐฯยังคงให้ความช่วยเหลือฝ่ายประชาธิปไตยในเมียนมาต่อไป และทั้งสองฝ่ายได้หารือกันเรื่องความพยายามทำให้เมียนมากลับมาสู่เส้นทางประชาธิปไตย
นายซัลลีแวนบอกรักษาการประธานาธิบดีรัฐบาลเงาเมียนมาว่าสหรัฐจะพยายามอย่างที่สุดให้รัฐบาลทหารเมียนมาปล่อยตัวนักข่าวอเมริกันที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกอินเส่ง “สหรัฐจะกดดันให้เมียนมาปล่อยนักโทษการเมืองที่ถูกขังโดยไม่ชอบธรรมทั้งหมด นายซัลลีวันบอกกับรัฐบาลเงาเมียนมาที่เรียกว่ารัฐบาลสามัคคีแห่งชาติหรือ NUG
และก็สอดรับกับคำพูดของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่พูดเมื่อวันที่ 23 ต.ค. ว่า นายริชาร์ดสันเดินทางไปเมียนในภารกิจด้านมนุษยธรรม (Humanitarian mission) ถึงแม้ว่าเขาเดินทางไปในฐานะส่วนตัวคิดว่าเขาสามารถช่วยให้เมียนมากลับมาสู่เส้นทางประชาธิปไตยได้เร็วขึ้น
ก่อนออกเดินทางแถลงการณ์ของสำนักงานนายริชาร์ดสัน กล่าวว่าเดินทางมาเมียนมาเป็นการส่วนตัวเพื่อภารกิจมนุษยธรรม แถลงการณ์ไม่ได้พูดถึงเรื่องขอให้ปล่อยตัวนายเฟนสเตอร์
นายริชาร์ดสัน อดีตผู้ว่าฯนิว เม็กซิโก เคยเจรจาให้ปล่อยตัวประกันทหารอเมริกันในเกาหลีเหนือ ในคิวบา ในอิรัก และซูดานมาแล้ว” ข้อมูลในเว็บไซต์ส่วนตัวของสำนักงานเขากล่าว
แต่พฤติกรรมของเขาในเมียนมาที่ต่อรองข่มขู่ให้ปล่อยตัวนายเฟนสเตอร์ มันสอดรับกับคำพูดของประธานาธิบดีโจ ไบเดน และนายซัลลีแวนที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว ทำให้รัฐบาลทหารเมียนมามั่นใจว่านายเฟนสเตอร์ไม่ใช่นักข่าวธรรมดา เขาน่าจะมีภารกิจสำคัญในเมียนมาที่รับคำสั่งจากวอชิงตันมาให้ทำหาก นายเฟนสเตอร์เป็นนักข่าวธรรมดาก็ถือได้ว่าทำเกินหน้าที่
เพราะดูจากทวิตเตอร์ของเขาก่อนถูกจับนายเฟนสเตอร์มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดมผ่านสื่อออนไลน์ให้ต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา และเสนอข่าวการจัดตั้งรัฐบาลเงา (NUG)และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) ของพรรคเอ็นแอลดี ราวกับว่าเขานั่งกำกับอยู่ที่ประชุมด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Frontier Myanma ที่เขาเป็นผู้อำนวยการและบรรณาธิการบริหารมักได้ภาพข่าวเด็ดๆตอนที่กองกำลัง PDF ก่อกวนวางระเบิดทหาร สถานที่ราชการและลอบสังหารประชาชนที่สงสัยว่าเป็นสายให้ทหาร แต่ Frontier Myanmaไม่เคยเสนอรายงานหรือวิจารณ์ความเลวร้ายของ PDF
เขารายงานข่าวเหมือนสื่อตะวันตกส่วนใหญ่ที่เน้นโยนความผิดความโหดร้ายไปให้รัฐบาลทหารเมียนมาว่าฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปแล้วไม่น้อยกว่า 1,200 คน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. เป็นต้นมา จึงไม่แปลกใจว่าทำไมอัยการเมียนมาถึงได้เพิ่มข้อหาให้นักข่าวชาวอเมริกันเพียงหนึ่งวันหลังจากนายริชาร์ดสันไปข่มขู่ว่าจะคว่ำบาตรเมียนมาเพิ่มเติม
นักข่าวอเมริกันที่ทำเกินหน้าที่ในเมืองไทยและทำให้เกิดความสงสัยว่าเขาทำงานให้ใคร ผู้เขียนเคยพบมาในระหว่างสงครามกลางเมืองกัมพูชา ชาวอเมริกันที่เริ่มปรากฏตัวตามชายแดนไทยกัมพูชา ในนามอาสาสมัครขององค์กรกาชาดสากล เขาสามารถเข้า-ออกระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชาและเข้าออกค่ายผู้อพยพได้ตลอดเวลา
ในขณะที่นักข่าวไทยต้องนัดหมายกับเขมรสามฝ่ายทั้งเขมรแดงเขมรฟุนซินเปกของเจ้าสีหนุ และเขมรเสรีของนายซอน ซาน นักข่าวไทยต้องนัดพบแหล่งข่าวเหล่านั้นตามแนวป่าแล้วพากันเดินลัดเลาะไปยังเป้าหมายหลบหลีกไม่ให้ทหารพรานและ ตชด.จับได้
แต่เอ็นจีโออเมริกันใช้ชีวิตหรูกินอยู่สบายในโรงแรมตามชายแดน เอ็นจีโออเมริกันคนนั้นไปไหนมาไหนได้เสรีสุดท้ายเขายุติบทบาทในไอซีอาร์ซีก่อนแปลงกายเป็นนักข่าวอิสระ freelancer เป็นนักข่าวอิสระได้ไม่นานว่ากันว่านายทหารไทยชั้นผู้ใหญ่ในเวลานั้น จัดการให้เขาได้สัมภาษณ์นายพอลพต ผู้นำเขมรแดง และเอาข่าวสัมภาษณ์พิเศษชิ้นนี้ไปขายได้หลายสิบล้านบาทก่อนเร้นกายหายไปจากเมืองไทย
ถ้านักข่าวอิสระคนนั้นไปเคลื่อนไหวในเมียนมาคงมีชะตากรรมเหมือนนายเฟนสเตอร์ ที่ต้องติดคุกเมียนมาไปอีกนานเพราะทหารเมียนมาไม่เกรงใจสหรัฐอเมริกาเหมือนทหารไทย
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี