เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2564 ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
ดังนั้นการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนับแต่นี้ไปจะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับที่แก้ไขใหม่นี้
นั่นคือจะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมทั้งสิ้น 500 คนแบ่งเป็น สส.ประเภทเขตเลือกตั้งจำนวน 400 คน และเป็นแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ซึ่งจะต้องเปลี่ยนแปลงเขตเลือกตั้งและกำหนดจำนวน สส. ของแต่ละเขตเลือกตั้งให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญนี้ต่อไป
สำหรับการเลือกตั้งก็จะต้องใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบใบแรกจะเป็นบัตรเลือกตั้งสำหรับ สส.เขต และใบที่สองจะเป็นบัตรเลือกตั้งสำหรับ สส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งในวิธีการเดียวกันกับการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540
และถือได้ว่าเป็นการลบล้างพิษร้ายของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่ร่างโดยคณะของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ และเป็นต้นเหตุของวิกฤตทางการเมืองในปัจจุบันประการหนึ่ง และยังคงมีพิษร้ายแฝงฝังอยู่อีกหลายเรื่องที่จะต้องแก้ไขกันต่อไป โดยเฉพาะคือบทบาทของวุฒิสภาที่วิปริตผันแปรไปจากสภาที่ทำหน้าที่กำกับตรวจสอบทั้งสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาล กลายเป็นสภาที่อุ้มชูค้ำจุนรัฐบาลและเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการสืบทอดอำนาจอันไม่เป็นธรรม
เพราะความวิปริตในเรื่องวุฒิสภาดังกล่าวทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นในการเมืองของประเทศ เพราะ คสช. ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาเท่ากับมีเสียงอยู่ในรัฐสภารองรังอยู่แล้วถึง 250 คน ทำให้มีอำนาจที่จะกำหนดตัวนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยและไม่มีประเทศใดในโลกเขาทำกันเช่นนี้
นอกจากนั้นวุฒิสภายังมีบทบาทในการให้ความเห็นชอบกรรมการองค์กรอิสระ รวมทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และข้าราชการตำแหน่งสำคัญ จึงก่อให้เกิดอำนาจแฝงของ คสช. ขึ้นในองค์กรเหล่านี้ เป็นเหตุให้ไม่ได้รับความเชื่อถือ
นั่นคือสภาพไร้ธรรมอำไพที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญและเป็นต้นตอวิกฤตของชาติไปจนกว่าจะได้รับการแก้ไขให้เสร็จสิ้นไป และถือว่าเป็นบาปกรรมสำคัญของคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวที่จะต้องรับวิบากกรรมต่อไปอีกนาน เพราะชาตินี้ยากที่จะเงยหน้าอ้าปากมองหน้าผู้คนในแผ่นดินได้อีกต่อไป
ดังนั้นแม้ว่ารัฐสภาจะลงมติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ ตลอดจนการเลือกตั้งโดยใช้บัตร 2 ใบ ก็มีความพยายามมากหลายที่จะล้มล้างร่างรัฐธรรมนูญนี้
โดยมีข้ออ้างว่าร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวจะทำให้พรรคเพื่อไทยได้เปรียบ จะเปิดโอกาสให้คุณทักษิณ ชินวัตร กลับมามีอำนาจในบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง และไม่เป็นผลดีต่อพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เป็นการสร้างกระแสข่าวเพื่อทำให้ผู้คนหลงผิดว่าสถาบันเป็นฝักเป็นฝ่ายทางการเมือง ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่สถาบันเพราะมิได้เกี่ยวข้องใดๆ ด้วยเลย
ดังนั้นการมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขดังกล่าวจึงเป็นการลบล้างการสร้างกระแสข่าวที่ไม่เป็นความจริง และเป็นสิ่งยืนยันว่าสถาบันนั้นมีความเป็นกลางทางการเมืองในทุกกรณี มิได้เป็นฝักฝ่ายในทางการเมืองกับฝ่ายใด และเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจะต้องตระหนักสังวรให้ดีว่าการแอบอ้างใดๆ เพื่อให้สถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องในทางการเมืองนั้นผลแท้จริงก็คือเป็นการบ่อนทำลายสถาบัน และวันหนึ่งความจริงก็จะปรากฏดังเช่นกรณีนี้
ดังนั้นเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นตามมาบ้าง จึงเป็นเรื่องที่คนทั้งหลายจะต้องทำความรู้ทำความเข้าใจในประการสำคัญดังต่อไปนี้
ประการแรก เป็นหน้าที่ของ กกต. ที่จะต้องเร่งรีบปรับปรุงกฎหมายและข้อกำหนด ตลอดจนระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญนี้ เพราะขณะนี้บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดหรือกฎระเบียบใดก็ตามที่ขัดกับรัฐธรรมนูญย่อมเป็นอันใช้ไม่ได้และสิ้นผลบังคับไปแล้ว
เป็นเรื่องที่ กกต. จะต้องเร่งรีบดำเนินการ จะต้องไม่ไปปล่อยธุระหรือโยนให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล เพราะหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของ กกต. ในกรณีที่ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย เมื่อ กกต.ดำเนินการเสร็จแล้วก็ต้องส่งรัฐบาลเพื่อเสนอต่อรัฐสภาดำเนินการต่อไปตามอำนาจหน้าที่
และที่สำคัญ รัฐบาลอย่าได้ก้าวล่วงเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงถ่วงรั้งหรือดำเนินการใดๆ เพื่อให้การแก้ไขกฎหมายและระเบียบทั้งหลายล่าช้าวิปริตผันแปรไปอีกเป็นอันขาด
ประการที่สอง ผลจากการใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขจะเป็นการปิดฉากระบบเลือกตั้งอัปยศเหมือนครั้งที่ผ่านมา จะเป็นการปิดฉากทางการเมืองของพรรคจิ๋วพรรคเล็กและ สส.ปัดเศษที่เป็นความอัปลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และจะทำให้ระบบการเมืองของประเทศก้าวไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ซึ่งทำหน้าที่เป็นปากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
จะทำให้พรรคการเมืองประเภทกาฝากที่ไร้อุดมการณ์ ไม่มีจุดยืนทางการเมือง และพร้อมที่จะทรยศต่อคำมั่นสัญญากับประชาชนเพียงเพื่อขอเป็นพรรคเสียบที่จะเข้าร่วมรัฐบาลกับใครก็ได้พร้อมจะผสมพันธุ์กับใครก็ได้ เพียงเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองทรามเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้แผ่นดินการเมืองประเทศไทยสูงขึ้นและจะเป็นการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไปอีกขั้นหนึ่ง
ประการที่สาม การเลือกตั้งแบบใหม่จะทำให้พรรคเพื่อไทยได้เปรียบมากที่สุดเพราะเป็นพรรคที่มีลักษณะจัดตั้งในลักษณะพรรคมหาชนที่มีฐานสมาชิกและมวลชนรองรับ ไม่ใช่พรรคที่มีลักษณะเป็นพรรคสภาที่มีกิจกรรมเฉพาะในสภา หรือกิจกรรมแค่หลอกลวงหาเสียงชาวบ้านแบบหาเสียงตามงานบวช งานศพ งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งไร้สาระและไร้ประโยชน์
พรรคเพื่อไทยสืบทอดระบบการจัดตั้งมาจากพรรคไทยรักไทยและมีประสบการณ์ในการเลือกตั้งแบบนี้ ทั้งได้ผ่านศึกและชนะศึกมาทุกยุคทุกสมัย จึงเป็นพรรคที่ได้เปรียบมากที่สุด
ตามมาด้วยพรรคพลังประชารัฐซึ่งแม้ว่าจะเป็นพรรคที่มีอายุขัยไม่นานนัก แต่ถ้าดูจากการเคลื่อนไหวจัดกระบวนทัพที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขับเคลื่อนอยู่ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามีลักษณะเป็นอย่างเดียวกันกับพรรคเพื่อไทย คือมีลักษณะพรรคมหาชน มีลักษณะจัดตั้ง และมีลักษณะการจัดกระบวนรบทางการเมืองซึ่งแตกต่างจากพรรคการเมืองทุกพรรค จึงมีสมรรถนะพอฟัดพอเหวี่ยงกัน
ดังนั้นในสมรภูมิเลือกตั้งหน้าจึงเป็นการขับเคี่ยวกันของสองพรรคนี้ ส่วนพรรคอื่นถ้าหากมีฐานะเป็นแค่พรรคเสียบพรรคผี ก็จะถูกประชาชนทอดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แต่อาจมีเหลือพรรคขนาดกลางอยู่ไม่เกิน 2 พรรค
ทำให้กระแสการเมืองต้องจับจ้องสถานการณ์ภายในของพรรคพลังประชารัฐ ที่กองเชียร์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามสร้างกระแสเปิดเผยความขัดแย้งภายในและสร้างกระแสที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะแยกตัวไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะสถานการณ์ในพรรคพลังประชารัฐที่หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค เหรัญญิกพรรคและประธานวิปไม่มีกระทรวงครองกระทั่งถูกริบตำแหน่งประธานวิปไปแล้ว จะทนรับฐานะคนแบกเสลี่ยงให้ขุนหลวงนั่งกระดิกขาอยู่บนเสลี่ยงเหมือนแต่ก่อนไปได้อีกนานเท่าใด
ก็ต้องจับตาดูกันว่าจะมีการปรองดองกันอย่างไรเพื่อให้พรรคพลังประชารัฐมีสมรรถนะแข่งขันกับพรรคเพื่อไทย หรือว่าจะดึงดันเดินหน้าแตกแยกกันต่อไป และเมื่อนั้นความเสี่ยงทางการเมืองก็จะเกิดขึ้น
เพราะเมื่อคนแบกเสลี่ยงทนอัปยศต่อไปไม่ได้ก็จะต้องโยนเสลี่ยงทิ้งลงสักวันหนึ่ง จะเป็นวันไหนเท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี