“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล” เป็นองค์กรแนวร่วมที่สนับสนุนทั้งกำลังคนและปัจจัย ให้แก่กลุ่มคนคิดร้ายทำลายความมั่นคงภายในของประเทศเป้าหมาย และทำให้คนทั่วไปโดยเฉพาะคนไทย เอือมระอาเพราะเห็นว่ารัฐบาลไม่ทันเกมขององค์กรชั่วร้าย ที่มาในคราบนักสิทธิมนุษยชนอ้างว่าช่วยเหลือคนที่ถูกละเมิดสิทธิ
แต่หากประเทศไหนฉีกหน้ากากออกมาและพบว่ามันเป็นหนังเสือที่คลุมหัวหมาพวกแอมเนสตี้ก็จะพากันหลบลี้หนีหน้าไป
ในสหภาพพม่าหลังจากทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคเอ็นแอลดีเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมาคณะผู้บริหารแห่งรัฐ (State Administration council=SAC) พบหลักฐานว่าต่างชาติใช้สำนักงานและเจ้าหน้าที่ของแอมเนสตี้ฯในพม่าเป็นเส้นทางส่งเงินมาจัดการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทหาร
เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นสำนักงานแอมเนสตี้ฯ พบหลักฐานการโอนเงินจากต่างประเทศและอายัดเงินได้จำนวนมากพร้อมทั้งจับกุมผู้บริหารสำนักงานไปดำเนินคดีข้อหาฟอกเงินและจัดการชุมนุมประท้วงก่อจลาจลผิดกฎหมาย
เจ้าหน้าที่แอมเนสตี้ฯ ที่เหลืออีก 11 คนที่ถูกออกหมายจับหลบหนีเข้าป่าไปร่วมฝึกอาวุธกับกลุ่มชาติพันธุ์ จากคนที่อ้างว่าทำเพื่อสิทธิมนุษยชนเพื่อเสรีประชาธิปไตยที่ถนัดการใช้ไมโครโฟนกลายเป็นคนจับปืนขึ้นมาเข่นฆ่าประชาชนเสียเอง
ในฮ่องกงคนของแอมเนสตี้ฯ ร่วมกับองค์กรต่างๆจัดการชุมนุมสร้างความรุนแรงตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปี 2563 และเมื่อปักกิ่งออกกฎหมายความมั่นคงภายใน เมื่อเดือน มิ.ย 2563 แอมเนสตี้ฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรเป้าหมายที่เข้าข่ายได้ใช้บริการกฎหมายความมั่นคงภายใน บรรดาผู้บริหารระดับสูงของแอมเนสตี้ฯในเกาะฮ่องกงที่เป็นนกรู้ก็พากันหนีไปก่อนล่วงหน้า
และในเดือนตุลาคม 2564 แอมเนสตี้ฯซึ่งเคลื่อนไหวในฮ่องกงมานานกว่า 45 ปี ก็ประกาศปิดตัวเองเพราะกลัวคุกกลัวตะราง แอมเนสตี้ฯในฮ่องกง ประกาศยุติการดำเนินงานเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ในขณะที่สำนักงานภูมิภาค ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสำนักเลขาธิการแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล จะปิดตัวลงภายในสิ้นปี 2021
“อันจูลา ไมอา ซิงห์” ประธานกรรมการสากลแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า “เราตัดสินใจด้วยความยากลำบาก โดยเป็นผลมาจากกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของฮ่องกง ซึ่งทำให้องค์กรสิทธิมนุษยชนในฮ่องกงแทบไม่สามารถดำเนินงานได้อย่างเป็นอิสระ และทำงานด้วยความหวาดกลัวที่จะถูกตอบโต้อย่างร้ายแรงจากรัฐบาล..”
แอมเนสตี้ฯ ที่กร่างห้าวเป้งอยู่ในเมืองไทยหากเจอการบังคับกฎหมายเอาจริงอย่างฮ่องกง หรือในสหภาพพม่าก็พากันหนีเข้าป่า พวกฝรั่งที่เป็นเจ้านายก็หนีคุกไปก่อนล่วงหน้า กลับไปนั่งไขว่ห้างวางแผนใหม่ในประเทศตัวเอง ส่วนคนท้องถิ่นที่หากินกับความเดือดร้อนของคนหนีไปไหนไม่ได้ก็ต้องรับชะตากรรมไปตามมีตามเกิด
ตัวอย่างเช่นในประเทศอินเดียหลังจากถูกรัฐบาลอายัดบัญชีธนาคารของแอมเนสตี้ และคนในเครือข่ายทั้งหมดเมื่อกันยายน 2563 สำนักงานแอมเนสตี้ฯทั่วประเทศอินเดียอันกว้างใหญ่ ว่ากันว่าคนที่แอมเนสตี้ฯจัดตั้งไว้สร้างความวุ่นวายมีถึง 15,000 คน ต้องตกงานแทบอดตายแล้วออกมาคร่ำครวญว่ารัฐบาลอินเดียล่าแม่มด
..“เป็นอีกครั้งที่รัฐบาลอินเดียพยายามล่าแม่มดกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน โดยยัดเหยียดข้อครหาที่ไม่มีมูลและมีจุดประสงค์แอบแฝง” แอมเนสตี้ฯ ระบุในถ้อยแถลงของทางกลุ่มยืนยันว่า การถูกอายัดบัญชีนั้นไม่น่าจะใช่ “อุบัติเหตุ” อย่างแน่นอน เนื่องจากที่ผ่านมาแอมเนสตี้ฯ ได้ตีแผ่รายงานอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงโดยตำรวจระหว่างที่เกิดเหตุจลาจลในกรุงนิวเดลีเมื่อเดือน ก.พ. รวมถึงพฤติกรรมล่วงละเมิดของกองกำลังความมั่นคงอินเดียในแคชเมียร์
“การปฏิบัติต่อกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนราวกับเป็นแก๊งอาชญากร และทำกับผู้ต่อต้านรัฐบาลเหมือนเป็นอาชญากร โดยปราศจากหลักฐานรองรับ ถือเป็นการจงใจสร้างความหวาดกลัวและปิดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในอินเดีย” นายอาวินาช กุมาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ฯ ประจำอินเดีย แถลงปิดสำนักงานทั้งหมดในอินเดียเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2563
ในประเทศอินเดีย ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ในประเทศสหภาพพม่า และอื่นๆ อีกหลายประเทศเขาจัดการกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่น อย่างเด็ดขาดโดยการติดตามพฤติการณ์และตรวจสอบเส้นทางการเงินเมื่อพบว่าทำผิดกฎหมายนำเงินที่ได้จากต่างประเทศมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียนไว้ ใช้เงินในการปลุกระดมมวลชนเพื่อล้มล้างทำลาย เขาก็ใช้กฎหมายดำเนินทันที
เห็นตัวอย่างบางประเทศแล้วหันมาดูความเคลื่อนไหวของแอสเนสตี้ฯในประเทศไทย และปฏิริยาตอบสนองจากรัฐบาล จะพบว่ารัฐบาลไทยปล่อยให้เอ็นจีโอกลุ่มต่างๆ รวมทั้งแอมเนสตี้ฯ เคลื่อนไหวทำกิจกรรมได้อย่างเสรี เอ็นจีโอทุกองค์กร ทำกิจกรรมทุกอย่างได้ตามความพอใจโดยที่รัฐบาลไม่ดำเนินการใดๆ
ไม่ว่าแอมเนสตี้จะรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายปกป้องสถาบันหลักของชาติ แอมเนสตี้ฯสร้างข่าวโจมตีสถาบันฯนำต่างชาติเข้ามาแทรกแซงอย่างไรรัฐบาลไทยก็ไม่ทันเกม
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล องค์กรเป็นแนวร่วมสนับสนุนทั้งกำลังคนและปัจจัย ให้แก่กลุ่มคนคิดร้ายทำลายความมั่นคงภายในของประเทศเป้าหมาย ที่มาในคราบนักสิทธิมนุษยชนอ้างว่าช่วยเหลือคนที่ถูกละเมิดสิทธิ
ดังนั้น แอมเนสตี้ฯที่ห้าวเป้งอยู่ในเมืองไทยหากเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเหมือนในฮ่องกง ในประเทศพม่า ในอินเดีย ตรวจสอบเส้นทางการเงินว่ามาจากประเทศไหน องค์กรใด ใช้เงินไปทำกิจกรรมอะไร และบังคับกฎหมายจริงจังอย่างในฮ่องกง หรือในสหภาพพม่า คนไทยที่เป็นขี้ข้าก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว พวกฝรั่งที่เป็นเจ้านายก็หนีคุกไปก่อนล่วงหน้า
ตัวอย่างเช่นในประเทศอินเดียหลังจากถูกรัฐบาลอายัดบัญชีธนาคารของแอมเนสตี้และคนในเครือข่ายทั้งหมดแอมเนสตี้ฯก็สำนึกงานหยุดการเคลื่อนไหวโดยปริยาย
เมื่อเห็นรัฐบาลในประเทศต่างๆ ที่จัดการกับแอมเนสตี้ฯแล้วหันมาดูความเคลื่อนไหวของแอมเนสตี้ในประเทศไทยและปฏิกิริยา ตอบสนองจากรัฐบาลจะพบว่าตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลไทยปล่อยเอ็นจีโอต่างๆ รวมทั้งแอมเนสตี้ฯเคลื่อนไหวทำกิจกรรมได้ตามความพอใจโดยไม่ดำเนินการใดๆ ไม่ว่าแอมเนสตี้จะรณรงค์ให้ยกเลิกฎหมายปกป้องสถาบันฯรัฐบาลไม่กล้าขัดขวาง
ดังที่นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊คเรียกร้องให้แอมเนสตี้ออกจากประเทศไทยว่า
“อีกครั้งที่แอมเนสตี้จุ้นจ้านเรื่องภายในของไทย ทำแคมเปญ write for right ให้ทั่วโลกเขียนจดหมายให้ปล่อยตัวรุ้ง นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แอมเนสตี้เปิดตัวก้าวก่ายกฎหมายไทย พวกเราต้องช่วยกันตะโกนดังๆ ให้แอมเนสตี้รู้ว่า คนไทยทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่มีใครสามารถอยู่เหนือกฎหมายได้เมื่อสมัครใจทำผิดกฎหมาย ศาลให้โอกาสประกันตัวภายใต้เงื่อนไขว่าห้ามกระทำผิดซ้ำ แต่รุ้งก็ยังฝืนกระทำต่างกรรมต่างวาระอีกหลายครั้ง จนศาลถอนประกัน ใครบังคับให้กระทำผิดหรือกระทำผิดต่อองค์พระประมุขไม่ว่าประเทศไหนก็ต้องเป็นความผิด
แอมเนสตี้แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของการปกครองของไทย ศาลไม่มีกระบอกเสียง นอกจากประชาชนต้องช่วยกันส่งเสียงประท้วงแอมเนสตี้และรัฐบาลที่ไม่จัดการแอมเนสตี้ #รัฐบาลใจเย็นเกินไป ปล่อยให้องค์การต่างชาติเผาเรือนตัวเองโดยไม่ตัดไฟแต่ต้นลม ปล่อยไว้จะเกิดเหตุการณ์แบบซีเรีย อียิปต์ ลิเบีย เอาอย่างอินเดียเถอะ แอมเนสตี้ต้องออกไป..”
จากนี้ไปให้สังเกตปฏิกิริยาเบื้องต้นของกระบอกเสียงรัฐบาลเมื่อประชาชนเรียกให้ขับไล่แอมเนสตี้ออกไป
นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หนึ่งในกระบอกเสียงของรัฐบาลตอบคำถามของนายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์เขียนจดหมายถึงนายเสกสกลอัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯให้ช่วยสะกิดบอก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ไล่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกจากประเทศไทย
ได้รับคำตอบจากนายเสกสกลพอสรุปใจความได้ว่า “#ขับแอมเนสตี้” พ้นประเทศไทยนั้นง่าย แต่จะส่งผลเสียต่อรัฐบาล ย้ำว่ากำจัดองค์กรแย่ แบบนี้ต้องรัดกุม”
คำตอบของเสกสกล หรือแรมโบ้อีสาน พออนุมานได้ว่าความกลัวต่อองค์กรที่รับใช้ต่างชาติและคนต่างชาติมันฝังอยู่ในสายเลือดของฝ่ายบริหารตั้งแต่ระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีไปถึงหัวหน้ารัฐบาล
เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่คนไทยต้องเอากฎหมายมาไว้ในมือของตัวเองทุกคน ส่วนใครจะบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนด้วยวิธีไหนให้เป็นวิจารณญาณของแต่ละท่านเอง
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี