ในกิจกรรมของคุณตูน บอดี้สแลม และคณะ โครงการ
“ก้าวเพื่อน้องปีที่ 2 เวอร์ชวลรัน ๑๐๙ คำขอบพระคุณ” โดยมูลนิธิก้าวคนละก้าว จะปรากฏชื่อหน่วยงานหนึ่งร่วมด้วย คือ “กสศ.” หรือ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
หน่วยงานนี้ เพิ่งเกิดขึ้นในยุครัฐบาล คสช.
1. กสศ. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จัดตั้งขึ้นตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 54
พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.2561 ประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา รวมทั้งเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยให้รัฐเป็นผู้จัดสรรงบประมาณให้กองทุน และมีการบริหารงานที่เป็นอิสระ
กสศ. มีภารกิจในการช่วยเหลือดูแลกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ หรือด้อยโอกาสนับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยแรงงานให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา เพื่อบรรเทาความยากจนอันเป็นรากเหง้าของปัญหาอื่นๆ ซึ่งหากแก้ไม่ได้ ปัญหานี้จะส่งทอดวนเวียนไปข้ามชั่วคน จากพ่อแม่ ส่งต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานได้เพราะมีกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงการศึกษา หรือได้รับ
กสศ.ต่างจาก กยศ.อย่างสิ้นเชิง
กสศ. นอกจากช่วยเหลือด้านการเงินแก่เด็กแล้ว ยังใช้วิธีสร้างเสริมองค์ความรู้และบริการจัดการเชิงระบบเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ลงทุนโดยใช้ความรู้นำเพื่อช่วยเหลือและสร้างคุณค่าเพิ่มแก่กลุ่มเป้าหมาย ระดมการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์จากทุกภาคส่วน ตลอดจนเสนอแนะมาตรการเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
2. กลุ่มเป้าหมายในการทำงานของ กสศ.
คือ ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และเข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษา 4.3 ล้านคน
กสศ.ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานใน 3 ปีแรก(พ.ศ.2562 – 2564) มุ่งส่งเสริมให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ สามารถเข้าถึงการศึกษาที่สอดคล้องกับความจำเป็นรายบุคคลตามศักยภาพในทุกกลุ่มเป้าหมาย ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนและหน่วยจัดการเรียนรู้
“ความเสมอภาค (Equity) แตกต่างกับความเท่าเทียม (Equality) เพราะเด็กแต่ละคนมีความจำเป็นและโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาไม่เท่ากัน โดยความยากจนทำให้เด็กไทยราว 5 แสนคน หลุดออกนอกระบบไปแล้ว และอีก 2 ล้านคนมีแนวโน้มขาดโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพ ปัญหานี้ สำคัญเกิดจากครอบครัวของเด็กต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาสูงมากเมื่อเทียบกับ
รายได้ สูงกว่าครอบครัวร่ำรวยถึง 4 เท่า (ข้อมูลจากบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ 2551-2559)
จากปัญหานี้ ความเท่าเทียมในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาจึงไม่อาจเพียงพอ เช่น นักเรียนที่มีฐานะแตกต่างกัน แต่ได้รับเงินอุดหนุนช่วยเหลือจำนวนเท่าๆ กัน โดยไม่คำนึงถึงความจำเป็นที่แตกต่างกัน ขณะที่การช่วยเหลือตามหลักความเสมอภาคเป็นการให้ตามข้อมูลความจำเป็นสาเหตุความเหลื่อมล้ำยังสืบเนื่องจากความแตกต่างของคุณภาพหรือมาตรฐานของสถานศึกษา คุณภาพหรือประสิทธิภาพของครู หรือฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม”
3. เป็นเรื่องที่น่ายินดี ภาคเอกชน ประชาชนที่มีจิตสาธารณะ จับมือกับ กสศ. ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ อย่างเช่น ก้าวคนละก้าว วิ่งเพื่อน้องฯ
แม้คนบางกลุ่มที่ “มือไม่พายเอาตีนราน้ำ” จะมีวิธีดิสเครดิต โจมตีคุณตูนและคณะ ก่นด่ารัฐบาล ด้อยค่าโจมตีการจัดกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือทุนการศึกษา ปั้นแต่งวิวาทะที่คิดว่าฉลาด แต่โคตรกลวง เช่น ควรวิ่งไปบอก
นายกฯ ให้แก้ปัญหา ควรวิ่งให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ ประเทศที่เจริญแล้วไม่มีความจำเป็นต้องทำการกุศลแบบนี้ ฯลฯ
หารู้ไม่ ในยุครัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ (แต่ถูกคนกลุ่มนี้โจมตีนั่นเอง) ได้ทำให้เกิดกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ ระดมการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์จากทุกภาคส่วน (ตามข้อ 1) โดยในปีที่แล้ว 2564 ได้ช่วยเหลือ 4 กลุ่มเป้าหมายลดเหลื่อมล้ำมากกว่า 2 ล้านคน ตั้งแต่ปฐมวัยถึงอุดมศึกษา ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในสถานศึกษามากกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศ
4. กสศ. ได้รับจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาล
ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เสนอแผนการใช้เงินของ กสศ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ตามที่คณะกรรมการบริหาร กสศ. เห็นชอบแล้วในกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 7,590 ล้านบาท
5. กสศ.จะใช้เงิน 7,590 ล้านบาท ทำอะไร?
คณะกรรมการบริหาร กสศ. มีมติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2564 เห็นชอบแผนการใช้เงินของ กสศ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และเห็นชอบให้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
5.1 ภายใต้กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น 7,590 ล้านบาท จำแนกเป็น 9 แผนงาน สรุปได้ ดังนี้
1) นวัตกรรมและการวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เช่น พัฒนานวัตกรรมระบบเทคโนโลยีและข้อมูลสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดสรรทรัพยากรด้านการศึกษาของประเทศ และวิจัยและพัฒนาร่วมกับพันธมิตรและเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ที่ชี้ถึงสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในมิติต่างๆ
2) พัฒนาระบบหลักประกันความเสมอภาคทางการศึกษา (ปฐมวัย-ภาคบังคับ) เช่น จัดสรรเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไขตั้งแต่ระดับปฐมวัย-การศึกษาภาคบังคับ และพัฒนาต้นแบบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อติดตามและป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษา
3) พัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ เช่น สนับสนุนการทำงานร่วมกับหน่วยนโยบายเพื่อให้เกิดกลไกการพัฒนาโรงเรียนในระดับพื้นที่เพื่อต่อยอดนวัตกรรมการเรียนการสอน ยกระดับการเรียนรู้ของเด็กที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน และสนับสนุนการนำระบบสารสนเทศมาใช้พัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ
4) จัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เช่น พัฒนากรอบการทำงานจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำจากฐานข้อมูลและการทบทวนผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
5) พัฒนาระบบการผลิตและพัฒนาครูสำหรับโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล เช่น ส่งเสริมและสนับสนุนนักเรียนยากจนพิเศษที่มีใจรักในวิชาชีพครูได้เรียนครูในสถาบันผลิตและพัฒนาครูคุณภาพเพื่อกลับไปเป็นครูยังภูมิลำเนา และสนับสนุนการพัฒนาโรงเรียนและเครือข่ายร่วมกับการพัฒนาครูรุ่นใหม่ในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล
6) ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับสูงกว่าภาคบังคับ เช่น ส่งเสริมให้เยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสได้ศึกษาต่อในระดับที่สูงกว่าการศึกษาภาคบังคับ และพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับสายอาชีพให้มีคุณภาพสูง
7) ส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานนอกระบบ เช่น พัฒนาต้นแบบหน่วยจัดการเรียนรู้
ที่สามารถจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นตามความต้องการ และศักยภาพของเยาวชนและแรงงานนอกระบบ
8) สื่อสารขับเคลื่อนนโยบายและระดมความร่วมมือ เช่น สนับสนุนจังหวัดและท้องถิ่นในการยกระดับบทบาทการสื่อสารและผลักดันนโยบายการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
9) บริหารและพัฒนาระบบงาน เช่น พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
5.2 ผลผลิตสำคัญ/ผลต่อประชาชนและประเทศ
1) เด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส ได้รับการอุดหนุนเงินเพื่อบรรเทาอุปสรรคการเข้าถึงการศึกษาที่สอดคล้องกับความจำเป็น และเพื่อป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษาในทุกช่วงระดับชั้น โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในช่วงชั้นรอยต่อเป็นรายบุคคลตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน และมีการพัฒนาตามศักยภาพ จำนวน 3,017,081 คน/ครั้ง
2) เยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสในระบบการศึกษา ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนให้ศึกษาต่อในระดับชั้นที่สูงกว่าการศึกษาภาคบังคับ จำนวน 8,983 คน
3) เยาวชนและแรงงานนอกระบบการศึกษา ได้รับการช่วยเหลือตามความจำเป็นหรือสนับสนุนให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาและได้รับการพัฒนาทักษะวิชาชีพที่เหมาะสมหรือได้รับการพัฒนาศักยภาพเพื่อการประกอบสัมมาชีพโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน จำนวน 25,000 คน
4) ครูและหน่วยจัดการเรียนรู้ทั้งในและนอกระบบการศึกษาได้รับการพัฒนาคุณภาพทั่วถึง (ครูหรือนักศึกษาครู 23,983 คน และโรงเรียน 750 แห่ง) เกิดการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการผลิตและพัฒนาครูต้นแบบและสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ทำให้การผลิตครูมีคุณภาพและกระจายตัวอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
5) องค์ความรู้ นวัตกรรม และต้นแบบ สำหรับภาครัฐและสังคมใช้เป็นแนวทางในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา เช่น ผลงานองค์ความรู้ งานวิจัยและนวัตกรรมในเชิงระบบ รวมถึงโครงการต้นแบบของ กสศ. ได้รับการนำไปใช้หรือถ่ายทอดไปสู่ภาคี เพื่อนำไปใช้ขยายผลในการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
6. ยืนยันว่า โอกาสทางการศึกษา คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด
เชื่อว่าสิ่งที่คนไทยทุกคนอยากจะเห็น คือทุกคนควรมีโอกาสได้เรียนสูงที่สุดตามกำลังสติปัญญาของตนเอง โดยไม่หลุดออกจากระบบการศึกษาด้วยข้อจำกัดด้านการเงิน เศรษฐกิจ ครอบครัว สถานะ ฯลฯ
การนี้ พื้นฐานสังคมไทย ไม่ควรถูกด้อยค่า รัฐบาล กสศ. กยศ. กระทรวงศึกษาฯ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ สถาบัน
การศึกษาต่างๆ วัด มูลนิธิ ภาคเอกชน มหาเศรษฐี ฯลฯ ทุกหน่วยงานองค์กร ล้วนแต่สามารถช่วยเหลือเด็กไทยให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่ดีที่สุด โดยไม่ควรมีการออกมาด้อยค่าทำนองว่า ถ้าการเมืองดี รัฐบาลจะดูแลทั้งหมดได้ฝ่ายเดียว นั่นเป็นวาทกรรมเพียงเพื่อความสะใจคับแคบ ตื้นเขิน และไม่จริง เพราะทุกประเทศ (รวมทั้งสหรัฐ อังกฤษ ฯลฯ) ยังมีหน่วยงานเอกชนร่วมทำงานสนับสนุนการศึกษาอยู่ทั้งนั้น
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี