วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ความเคลื่อนไหวในการเมืองไทยในช่วงนี้ทำให้สื่อการเมืองและพวกคอการเมืองทั้งหลายเกิดความคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุการณ์ต้องปิดสภาผู้แทนราษฎรหลายครั้งหลายครา (เพราะไม่ครบองค์ประชุม) การที่สมาชิกสภาผู้แทนแยกตัวออกจากพรรคการเมืองหนึ่ง เพื่อไปเข้าร่วมกับอีกพรรคการเมืองหนึ่ง ไปจนถึงการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ ผนวกกับการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดชุมพร และสงขลา ซึ่งนำมาซึ่งความคับอกคับใจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ที่ต่างไม่ยอมเปิดทางให้กันและกัน จึงต้องมาแข่งขันกันเองอย่างเข้มข้น เผ็ดร้อน ไปจนถึงการเตรียมการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ในภาพรวมการย้ายพรรค แตกพรรค การขับเคี่ยวกันภายในพรรคกันเอง ต่างก็สะท้อนถึงการชิงดีชิงเด่น การหักหาญซึ่งกันและกัน เพื่อการรักษาผลประโยชน์ หรือขยายผลประโยชน์ หรือการทะนุถนอมผลประโยชน์ไม่ให้เลวร้ายลง ซึ่งจัดได้ว่าเป็นเรื่องของการใฝ่หาอำนาจเพื่อตัวตน และกลุ่มของตน โดยเรื่องอุดมคติและอุดมการณ์ ดูจะถูกลืมเลือนและจางหายไป ทั้งที่เรื่องการบ้านการเมืองนั้น ตามหลักสากลเพื่อทำตามความเข้าใจของบุคคลทั่วไป เป็นเรื่องของการเสนอและนำอุดมการณ์มาเป็นพื้นฐานของการมีบทบาททางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ตาม
ประเทศประชาธิปไตยโดยทั่วๆ ไปนั้น พรรคการเมืองของเขามักจะมีจุดยืนและอุดมการณ์ที่แน่ชัด และเหนียวแน่น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม ฝ่ายเสรีนิยม ฝ่ายสังคมนิยม หรือฝ่ายชาตินิยม และฝ่ายธรรมชาตินิยมก็ตาม
ขณะที่ของไทยเราเมื่อแรกรับเอาระบบการเมืองการปกครองแบบตะวันตกเข้ามา พรรคการเมืองก็มีจุดยืนและอุดมการณ์ที่ค่อนข้างแน่ชัด ดังจะเห็นได้ว่าในอดีต ไทยเราก็มีทั้งพรรคฝ่ายซ้าย เช่น พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคสังคมนิยมและพรรคแรงงาน หรือแม้กระทั่งพรรคเกษตรกร ไปจนถึงฝ่ายขวาอย่างพรรคเสรีประชาธิปไตย และพรรคอนุรักษ์นิยม หรือชาตินิยม เป็นต้น
แต่การบ้านการเมืองไทยในระยะหลังๆ คำว่า “เพื่ออุดมการณ์” นั้นดูจะไม่อยู่ในสารบบอีกต่อไป เพราะพรรคการเมืองส่วนใหญ่ต่างเน้นหนักไปที่การชูตัวองค์บุคคลเป็นสำคัญ และค่อนข้างจะมีความคิดไปในเชิงอนุรักษ์นิยม มากกว่าจะมีความคิดแบบหัวก้าวหน้า
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ก็คือการที่พรรคการเมืองต่างๆ เอาแต่พูดเน้นเรื่องเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ว่าจะสามารถนำความเจริญก้าวหน้ามาให้กับประเทศ และนำเอาความอยู่ดีกินดีมาให้กับประชาชน แต่คำมั่นสัญญาเหล่านั้น ไม่ได้มีการยึดโยงกับอุดมการณ์ หรือหลักการหนึ่งใด เช่น จะให้ระบบเป็นแบบเสรีที่เอกชนนำพา หรือระบบเศรษฐกิจที่รัฐเข้ามามีบทบาทในการดูแลความยุติธรรม และความทั่วถึงในการได้รับประโยชน์หรือรัฐจะเป็นผู้กำหนดและดำเนินเศรษฐกิจเป็นหลัก หรือแต่ผู้เดียว เป็นต้น ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อขาดอุดมการณ์ แนวนโยบายและมาตรการพัฒนาเศรษฐกิจก็จะขาดกรอบ และพลังขับเคลื่อนทางจิตใจ
นอกจากนั้น การยึดเอาตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเป็นที่ตั้งของพรรคการเมืองหนึ่งใด ก็หมายความว่าพรรคการเมืองนั้นๆ ขาดความเป็นประชาธิปไตย ทั้งในการยึดโยงกับสมาชิกพรรคและกับสาธารณชนโดยทั่วไป บรรดาพรรคการเมืองจึงเป็นที่รวมของกลุ่มผลประโยชน์ โดยผลประโยชน์ของชาติก็ถูกกันออกไป และไม่ได้รับการตอบสนอง
ดังนั้น การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่พรรคการเมืองเข้าแข่งขันกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ เพื่ออำนวยการได้มาซึ่งผลประโยชน์ ก็เลยไม่สามารถที่จะส่งมอบความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศและความผาสุกให้กับประชาชนพลเมืองได้ ก็เลยเกิดมีความคิดเห็นกันว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้นไม่ดี และล้มเหลว โดยไม่ได้คำนึงว่า ระบอบประชาธิปไตยในตัวของมันเองซึ่งเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพนั้น อย่างไรๆ ก็ยังดีกว่าระบอบเผด็จการใดๆทั้งสิ้น ประเด็นปัญหาแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ตัวระบอบประชาธิปไตยเองหากแต่อยู่ที่พฤติกรรมอันน่าเกลียดของกลุ่มผลประโยชน์ที่ใช้พรรคและระบบการเลือกตั้ง เป็นแค่เครื่องมือและทางผ่าน ไปสู่การหาประโยชน์เท่านั้น มิได้ใช้ความเป็นประชาธิปไตยของบ้านเมืองเพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมืองและแถมยังเป็นผู้บ่อนทำลายอีกด้วย
ซึ่งถ้าหากว่า นักการเมืองและพรรคการเมืองไม่แก้ไขตนเอง ไม่ช่วยประคับประคองประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตยก็จะไปไม่รอด ซึ่งก็คงไม่พ้นที่จะต้องเกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนพลเมืองลุกฮือ กลุ่มกำลังเข้ามายึดอำนาจ หรือไม่ประชาชนก็คงต้องวิงวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้มีกลุ่มบุคคลที่มีอุดมการณ์เพื่อชาติบ้านเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตเข้ามาบริหารบ้านเมือง
ในวันนี้ หากยังไม่มีการแก้ไขใดๆ จากฝ่ายการเมือง ก็น่าจะหมดเวลากล่าวอ้างประชาธิปไตย เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์อำนาจบริหารประเทศได้แล้ว ก็ยังหวังว่ายังเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมไทยและผู้คร่ำหวอดทางด้านการเมืองการปกครอง จะช่วยกันออกมาต่อต้านกลุ่มผลประโยชน์ และเหลือบการเมืองทั้งหลาย และหันเหประเทศไทยไปสู่ทิศทางอันควรกันเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

รวบแล้ว กาน เวลไฟร์ มือยิงเก๋งบนทางทางพิเศษศรีรัช ย่านประชาชื่น
รมต.กัมพูชามั่นหน้าอีกหนึ่ง โพสต์เฟซเดือดๆ เขมรไม่มีทางพ่ายแพ้ ไทยไม่มีทางชนะ
ธรรมนัสของขึ้น! ฉะ อภิสิทธิ์ พูดหล่อ แต่มีผลงานอะไรบ้าง เหน็บบัญชีรายชื่อตัวเองสะอาดจัง
เปิดประวัติ กาน เวลไฟร์ วัยรุ่นพันล้าน เจ้าพ่อแวดวงรถมือสอง
ยูเอ็นออกโรงเตือน เมียนมาหยุดใช้ความรุนแรง บังคับขู่เข็นปชช.ไปเลือกตั้ง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี