การคิดราคากลางที่เหมาะสมเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินในการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน ในขนาดที่คนในวงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งรัฐและเอกชนคุยกันว่า “หากมีตัวเลขราคากลางที่ถูกต้องและเป็นธรรมแล้ว ต่อให้มีการสมยอมกันของผู้เข้าประมูลเพื่อไม่เสนอราคาเข้าแข่งขันกันจริง (ฮั้วประมูล) รัฐก็ยังสามารถป้องกันการถูกเอาเปรียบ จนต้องจ่ายเงินงบประมาณของส่วนรวมแพงเกินควรได้”
จากข้อมูลแถลงผลงานด้านปราบปรามการทุจริตในรอบ 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ตุลาคม 2564 - มกราคม 2565) โดยเลขาธิการ ป.ป.ช. เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา พบว่ามีคำกล่าวหาเรื่องการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างมากถึง 393 เรื่อง และคำกล่าวหาเหล่านี้พุ่งเป้าไปที่หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง
เมื่อไปตรวจสอบข้อมูลคดีทุจริตจากสำนักข่าวอิศรา ก็พบข่าวผลงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดต่างๆ อยู่เป็นประจำ เช่น การชี้มูลทุจริตนายก อบจ. กำแพงเพชร แทรกแซงตั้งแต่ขั้นสืบราคาทำราคากลางในการทุจริตซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกาย มีรายละเอียดดังนี้ “...การกระทำของนายก อบจ.กำแพงเพชร มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ โดยทุจริตทำการออกแบบ กำหนด ราคา กำหนดเงื่อนไข หรือกำหนดผลประโยชน์ตอบแทน อันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคาโดยมุ่งหมายมิให้มี การแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือเพื่อช่วยเหลือให้ผู้เสนอราคารายใดได้มีสิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยไม่เป็นธรรม หรือเพื่อกีดกันผู้เสนอราคารายใดมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม
ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำการใดๆโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 11 และมาตรา 12 และ
ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจใน ตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริตตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/3 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 192 และ
เห็นว่า มีมูลเป็นการละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 และที่แก้ไขเพิมเติม มาตรา 79
จึงให้ส่งเรื่องให้ อัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญา และให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอน ดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561...”
กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้กฎหมายทั้งเก่าและใหม่ หลายฉบับ ในการชี้เป้าและจับทุจริต ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ในมาตรา 4 และมาตรา 12 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ในมาตรา 172 (เดิมที่รู้จักกันใน มาตรา 123/1) และ พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างฯ ฉบับใหม่ที่ประกาศใช้ในปี 2560 (พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560) ที่ออกตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2560
นั่นหมายความว่า เรื่องการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างนั้น ถ้า ป.ป.ช. จะเอาจริง ก็ทำได้ เพราะมีอำนาจและมีกฎหมายในมือมากเพียงพอ คำถามที่สำคัญคือ จะเอาจริงหรือไม่ และ เลือกสืบสวนถูกโครงการหรือเปล่า
เรื่องเอาจริงหรือไม่คงต้องไปถาม ป.ป.ช. เอง แต่คำถามต่อมาว่าเลือกสืบสวนถูกโครงการหรือเปล่านั้น พอจะมีทางช่วยได้ นั่นคือการใช้มาตรา 62 ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดทำประกาศและเอกสารเชิญชวนให้ทราบเป็นการทั่วไปว่า หน่วยงานของรัฐจะดำเนินการในการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุใด วัน เวลา สถานที่ยื่นข้อเสนอและเงื่อนไขอื่นๆ และมาตรา 63 ที่ให้หน่วยงานของรัฐประกาศรายละเอียดข้อมูลราคากลาง และ การคำนวณราคากลาง ลงในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง ข้อนี้เป็นการบังคับให้เปิดเผยรายละเอียดการคิดราคากลางออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนด้วย ทั้งสองมาตรานี้จะช่วยสร้างความโปร่งใส ป้องกันการมั่วราคากลาง ทำให้การคิดคำนวณราคากลางมีความถูกต้องเป็นธรรมมากขึ้น เพราะเมื่อข้อมูลโปร่งใส หากมีความเสี่ยงต่อการทุจริต คนรอบข้างก็จะเห็นได้ง่ายและช่วยร้องเรียนให้ ป.ป.ช. ไปสืบสวนได้ถูกที่มากขึ้น
แล้วความโปร่งใสและความมีส่วนร่วมของประชาชนช่วยต้านโกงได้จริงหรือ? เราได้เห็นตัวอย่างโครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ผลักดันให้เกิดขึ้นแล้ว โดยส่งประชาชนที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เข้าไปเป็นผู้สังเกตการณ์อิสระในการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆซึ่งพบว่าหากผู้สังเกตการณ์เข้าไปตั้งแต่ขั้นตอนการกำหนดเงื่อนไขและราคากลางแล้ว จะสามารถช่วยป้องกันคอร์รัปชันได้อย่างมาก ดูได้จากตัวเลขงบประมาณที่ลดลงกว่า 30% ของแต่ละโครงการที่เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรม รวมๆ แล้ว คิดเป็นเงินหลักแสนล้านบาทเลยทีเดียวดังนั้นคงไม่ต้องถกเถียงเรื่องนี้กันให้เสียเวลาอีก นี่คือสิ่งที่ ป.ป.ช. จะต้องผลักดันให้เกิดขึ้นมากกว่านี้ หากต้องการจะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันได้จริง
ข้อแนะนำสำหรับ ป.ป.ช. อีกประการหนึ่งคือ พัฒนาการสื่อสารของ ป.ป.ช. ให้ประชาชนได้มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นว่า มีผลงานจับคนโกงได้จริงอยู่บ้างแล้ว ด้วยการเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วน ให้ประชาชนและสำนักข่าวต่างๆ เข้าถึงและร่วมกันติดตามได้อย่างง่ายและสะดวก และที่สำคัญเปิดในรูปแบบที่สามารถนำไปคิดวิเคราะห์ต่อได้
ไม่ใช่ในรูปแบบ PDF หรือตารางสรุป ที่นำมาเสนอตอนแถลงข่าวทุก 3 เดือนเพียงเท่านั้น เพราะความโปร่งใสและจริงใจจะนำพาไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นได้ครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี