“สะดวกสบายแต่ก็เปราะบาง” คงไม่ผิดนักหากจะให้นิยามนี้กับ “เมือง” เพราะแม้จะมีสินค้าและบริการต่างๆ ที่ช่วยให้ใช้ชีวิตได้ง่ายกว่าชนบท แต่เมื่อวิกฤตมาเยือนก็อาจกลายเป็นสถานที่ใช้ชีวิตลำบาก เพราะการที่เมืองอยู่ได้นั้นมาจากการพึ่งพาทรัพยากรจากภายนอก หนึ่งในนั้นคือ “อาหาร” เช่น หากย้อนไปในปี 2554 ที่ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ แม้กรุงเทพฯ จะได้รับการปกป้องอย่างสุดกำลังจากน้ำท่วม แต่อาหารทั้งสำเร็จรูปและวัตถุดิบหายเกลี้ยงไปจากชั้นวาง ในขณะที่พื้นที่อื่นๆ ที่เจอน้ำท่วมหนักกว่า ผู้คนยังพอดำรงชีพกันได้แบบวิถีธรรมชาติ
เช่นเดียวกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่แม้ขณะนี้มีการเตรียมปรับนโยบายไปสู่การเป็นโรคประจำถิ่น เนื่องด้วยไวรัสกลายพันธุ์รุ่นหลังๆ แม้จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้นแต่โอกาสป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตน้อยลงกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า ประกอบกับผู้คนได้รับวัคซีนกันอย่างแพร่หลายและปริมาณวัคซีนในท้องตลาดมีเพียงพอฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ประชากรกลุ่มเสี่ยง ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มงวดอีก แต่หากย้อนไปเมื่อปี 2563 ที่มีการล็อกดาวน์ในการระบาดระลอกแรกกรุงเทพฯ ก็มีปัญหาปริมาณอาหารลดลงไม่ต่างจากช่วงน้ำท่วมปี 2554 เพราะข้อจำกัดในการเดินทางขนส่งสินค้า บวกกับความกังวลซึ่งกันและกันว่าใครจะติดเชื้อหรือไม่
“เมืองกับความมั่นคงทางอาหาร” จึงเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ดังเมื่อเร็วๆ นี้ มีการเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “เกษตรอินทรีย์วิถีเมืองภายหลังสถานการณ์โควิด-19” จัดโดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ซึ่ง อนันตโชค ศักดิ์สวัสดิ์ ผู้จัดการเครือข่ายธนาคารอาหารประเทศไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19ที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดถึงปัญหาการเข้าถึงอาหารของคนในเมือง ไม่เฉพาะแต่คนจนที่มีอยู่เป็นจำนวนมากเท่านั้น แม้แต่คนที่มีเงินก็เช่นกัน เพราะในเวลานั้นเกิดการกักตุนอาหาร
อนันตโชค สรุปปัญหาของคนเมืองในสถานการณ์โควิด-19 ดังนี้ 1.ขาดรายได้ มาตรการล็อกดาวน์ปิดกิจการต่างๆ ส่งผลต่อคนทำงานโดยเฉพาะกลุ่มหาเช้ากินค่ำรับจ้างรายวัน 2.การบริหารจัดการอาหารของผู้ผลิต เนื่องจากช่องทางจำหน่ายอาหารอย่างร้านค้าร้านอาหาร โรงแรม ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์สินค้าประเภทอาหารที่ผลิตออกมาจึงไม่สามารถหาตลาดได้ ซึ่งปรากฏว่ามีสินค้าเหลือและเน่าเสียจนต้องทิ้ง
3.เข้าไม่ถึงความช่วยเหลือจากรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มประชากรแฝง หมายถึงคนจากเมืองหนึ่งที่เข้าไปอยู่ในอีกเมืองหนึ่ง แต่ไม่ได้ย้ายรายชื่อเข้าไปอยู่ในทะเบียนบ้านของเมืองนั้นด้วย เช่น คนต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนหรือทำงานในกรุงเทพฯ แต่ข้อมูลทางทะเบียนราษฎรยังอยู่ในจังหวัดภูมิลำเนาเดิม และ 4.ขาดความรู้ หลายพื้นที่ไม่มีความรู้ในการถนอมและเก็บอาหารในยามวิกฤต ยิ่งปัจจุบันมีช่องทางซื้อ-ขายออนไลน์ที่สะดวกขึ้นก็ยิ่งไม่มีการดำเนินการ แม้ในอีกด้านหนึ่ง หากเป็นสถานการณ์ปกติประเทศไทยจะมีอาหารเหลือเฟือก็ตาม
“การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่กำลังรุนแรงขึ้นทุกวัน จะมีผลกระทบต่อกระบวนการผลิตอาหาร สุขอนามัย และก่อให้เกิดปัญหาด้านสังคมและเศรษฐกิจตามมา ซึ่งจะทำให้เกิดวิกฤตอาหาร โดยเฉพาะทวีปแอฟริกาจะมีเด็กประมาณ 10 ล้านคน ที่จะต้องเสียชีวิตก่อนอายุ 5 ปี และมีเด็กมากกว่า 16,000 คน ต้องเสียชีวิตจากการอดอาหาร หรือเฉลี่ยทุก 5 วินาที จะต้องมีเด็กเสียชีวิตด้วยความอดอยาก 1 คน โดยในอนาคตจะส่งผลกระทบต่อไทยเช่นกัน ซึ่งสิทธิการเข้าถึงอาหารเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน โดยหลายประเทศได้นำเรื่องนี้เข้าไปในรัฐธรรมนูญแล้ว ส่วนในไทยกำลังผลักดันเช่นกัน” อนันตโชค กล่าว
ขณะที่ ยศพล บุญสม ภูมิสถาปนิก และกรรมการผู้จัดการบริษัท ฉมา จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19ที่เกิดขึ้น ได้เห็นปรากฏการณ์หลายอย่างที่จะต้องปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ 1.กิจกรรมทางกายหลายคนต้องการพื้นที่สีเขียวใกล้บ้านเพื่อออกกำลังกาย เพื่อที่จะไม่ต้องรวมตัวกันในพื้นที่ขนาดใหญ่ 2.อาหาร ถ้าสามารถยั่งยืนได้ด้วยตนเอง จะสามารถรับมือกับวิกฤตได้ 3.ชุมชน ถ้าชุมชนเข้มแข็งจะทำให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณะได้ง่าย และสามารถช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที และ 4.ออนไลน์ ทำให้มีโอกาสใหม่ๆ เข้ามา
ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่มากพอที่จะทำให้เห็นถึงการพัฒนาเมืองได้ดีพอ และทำให้เห็นว่าเรื่องที่ไม่ปกติกลายเป็นเรื่องปกติ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงขึ้นรวดเร็ว ทั้งนี้ เมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง ที่ไปทดแทนพื้นที่สีเขียวที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นทุ่งนาเพื่อรับน้ำ และสามารถเป็นแหล่งอาหาร โดยส่งผลต่อการดำรงชีวิต ธรรมชาติ และสุขภาพของประชาชน
“จากวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในไทย จึงจำเป็นต้องสร้างเมืองให้มีความยืดหยุ่น เพื่อให้มีพื้นที่อพยพ พื้นที่รับมือกับภัยพิบัติ พื้นที่ผลิตอาหาร และพื้นที่กิจกรรมทางกาย ตัวอย่างเช่น เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีแผ่นดินไหวเป็นประจำ จึงมีพื้นที่สีเขียวที่เป็นศูนย์อพยพ และสวนสาธารณะจะทำหน้าที่เป็นจุดอพยพเวลาเกิดแผ่นดินไหว นอกจากนี้สนามกีฬาสามารถเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลสนามได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคืออาคารในปัจจุบันไม่มีรูปแบบเดียวแล้ว แต่มีผสมผสานรูปแบบที่จำเป็นในอนาคต
เห็นได้จากประเทศสิงคโปร์ที่อาคารเป็น Community Center (ศูนย์ชุมชน) เนื่องจากประเทศมีพื้นที่จำกัด จึงรวบรวมรูปแบบพื้นที่ต่างๆ อยู่ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ และเป็นพื้นที่จำเป็นกับยุคสมัยปัจจุบันมากขึ้น เช่น ชั้นล่างเป็นพื้นที่เปิดโล่งให้เป็นพื้นที่สาธารณะ ชั้นบนเป็น Health Care (สถานดูแลสุขภาพ) ของผู้สูงอายุ และมีพื้นที่ปลูกพันธุ์พืชต่างๆ เพื่อผลิตอาหาร ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าสามารถปรับเมือง โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม สร้างพื้นที่เพื่อตอบรับกับภัยพิบัติหรือวิกฤตต่างๆ ได้” ยศพล ระบุ
ด้าน ชาคริต โภชะเรื่อง จากกลุ่มสวนผักคนเมืองหาดใหญ่ ให้ความเห็นว่า การปลูกผักกินเองแก้ปัญหาต่างๆได้ เช่น 1.ด้านสุขภาพ ผักในท้องตลาดมีสารเคมีปนเปื้อน ทำให้ประชาชนได้รับโภชนาการที่ไม่เหมาะสม เสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง และทำให้เด็กไอคิวต่ำลง 2.ด้านสิ่งแวดล้อม อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เกิดโดมความร้อนจึงทำให้เมืองขาดความหลากหลายทางชีวภาพ ขาดแคลนน้ำ และเกิดโรคภัยต่างๆ หากนำวัสดุเหลือใช้นำกลับมาใช้ใหม่ในการปลูกผัก เท่ากับช่วยลดขยะในเมืองได้ 3.ด้านเศรษฐกิจ ช่วยลดรายจ่ายในครัวเรือน และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และ 4.ด้านสังคม สร้างมิตรภาพและสร้างความสัมพันธ์ของสมาชิกในชุมชน
“การปลูกผักในกระถางถือว่าเป็นอินทรีย์อย่างแท้จริง เนื่องจากถ้าปลูกผักบนดินอาจจะมีการปนเปื้อน นอกจากนี้ยังเหมาะสมกับพื้นที่จำกัดอย่างในเมืองอีกด้วย” ชาคริต กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี