l คุณภาพของประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
เราต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงคุณภาพของคนไทย มีน้อย ในการใช้สิทธิเลือกตั้ง ทุกระดับ
-ทั้งในระดับชาติ เลือก สส. หรือ สว.
-ระดับผู้ว่าฯกทม. สก. และผู้บริหารเมืองพัทยา
-ระดับเทศบาล อบจ. สจ. สท.
เหตุผลและปัจจัยสำคัญ
๑.ระบบการเลือกตั้งของไทย อิงกับระบอบทุนนิยมตะวันตก ไม่สอดคล้องกับสังคมไทย
๒.โครงสร้างและระบบของสังคมไทย มีความเหลื่อมล้ำไม่เสมอภาค และไม่เป็นธรรมคนส่วนน้อย มีอิทธิพล (อำนาจทุน เงิน วิชาการ สื่อ มวลชนฯ ) มากกว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีทั้งทุนใหญ่ ทุนสามานย์ นักการเมือง (พรรคการเมือง) กองทัพ ข้าราชการ ระบบยุติธรรมยิ่งใช้ระบบการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรมอย่างนี้พวกเขายิ่งมีอำนาจทุน สื่อบริวารฯ มากขึ้น
๓.ระบบทุนนิยม ระบบอุปถัมภ์ ระบบราชการ เอื้อต่อการซื้อเสียงขายเสียง
๔.กระบวนการยุติธรรม ในการตรวจสอบ ควบคุมการเลือกตั้ง และการตัดสินความผิดของพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งล่าช้า ไม่ทันกาล และไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล หมายความถึง ทั้ง กกต. และกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด
๕.ประชาชน อ่อนแอ ขาดคุณภาพ มีส่วนกลายเป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง และผู้สมัครฯ
การจะหลุดพ้นได้ ต้องมีการปฏิรูปใหญ่ ในระดับโครงสร้างและระบบของสังคมฯซึ่งต้องการ “ผู้นำระดับรัฐบุรุษ” และสถานการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงฯ
โดยสรุป ในประเด็นนี้ คือ คนไทย มีคุณภาพน้อย
และอารมณ์ของคน กทม. เวลานี้เรื่องหนึ่ง คือ จะใช้ความรู้สึกและการรับรู้จากผลงานที่ปรากฏเป็นตัวชี้วัดในการตัดสินใจมากกว่าใช้เหตุและผล
l ดู“นิด้าโพล”ได้ทำการสำรวจในประเด็นเดียวกันนี้อีกครั้ง เมื่อต้นเดือนมีนาคม ปรากฏว่า
-ส่วนใหญ่ ร้อยละ 66.00 ระบุว่า ผู้ว่าฯกทม. อิสระ
-รองลงมา ร้อยละ 17.11 ระบุว่า ผู้ว่าฯกทม. ที่สังกัดพรรคการเมือง
-ร้อยละ 14.30 ระบุว่า อย่างไรก็ได้ และ
-ร้อยละ 2.59 ระบุว่า ผู้ว่าฯกทม.ที่สังกัดกลุ่มการเมือง
ผลโพลล์นี้ สะท้อนให้เห็นความจริงตามที่กล่าวมา
l โดยไม่ได้ทราบข้อเท็จจริง ในเรื่องสำคัญหลายประการ เช่น
ผู้สมัครส่วนใหญ่ เสนอในเรื่อง ที่มิใช่ อยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าฯกทม. อำนาจของผู้ว่าฯกทม. มีในระดับหนึ่ง แต่ก็มีความจำกัดไม่น้อยหลายเรื่องต้องอาศัย หรือร่วมมือ หรือให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้พิจารณา ตัดสินใจ
และที่สำคัญ คือ “งบประมาณการบริหารกทม.” มาจากไหนบ้าง มาดูกัน
แหล่งงบประมาณของหน่วยงาน
งบประมาณของกรุงเทพมหานคร ตามข้อบัญญัติงบประมาณ
เงินอุดหนุนรัฐบาลที่จัดสรรให้กรุงเทพมหานครในฐานะ องค์กรส่วนปกครองท้องถิ่น
เงินอุดหนุนรัฐบาลที่กรุงเทพมหานครได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เบิกแทนหน่วยงาน
เงินอุดหนุนรัฐบาลที่กรุงเทพมหานครได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เบิกแทนหน่วยงานเจ้าของงบประมาณ
เงินนอกงบประมาณของหน่วยงาน
แต่ผู้สมัครส่วนใหญ่ เสนอในเรื่องที่ถูกใจประชาชน
เพื่อให้เลือกตนเอง พรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองที่สังกัดหรือเลือกผู้สมัครอิสระ
และเมื่อได้เข้าเป็นผู้ว่าฯกทม. ไม่สามารถเสนอผลงานได้บางคนทำตัวเป็น “ผู้ตรวจสอบ หรือ จับผิดหน่วยงานต่าง” (ซึ่งมิใช่หน้าที่ของผู้ว่าฯกทม.) และบางเบอร์ ไม่พูดความจริงกับประชาชนผู้เลือกตั้งว่าที่สมัครอิสระนั้น ความจริงมิใช่อิสระจริง แต่เป็นนอมินีของใครรับเงินก้อนใหญ่มาจากใคร หรือจัดจ้างสื่อมืออาชีพ ด้วยเงินมหาศาล เรื่องเหล่านี้ทางกกต. หรือผู้เกี่ยวข้อง ควรนำเสนอ “ความจริง” ให้ประชาชนได้รับทราบและควรมีข้อห้ามหรือ บทลงโทษ ต่อผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ที่เสนอ “ข้อมูลเกินความจริง ที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจตน”
l มาดู พิจารณากันถึง จำนวนของผู้มีสิทธิเลือกผู้ว่าฯกทม. 22 พ.ค. 2565
จากจำนวนประชากรผู้อาศัยในกรุงเทพมหานคร ทั้งหมด 5,519,907 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565)
แบ่งเป็นเพศชาย 2,588,027 คน เพศหญิง 2,931,880 คน
มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 4,374,131 คน (ข้อมูลคำนวณถึงวันที่ 22 พ.ค. 2565)
หากวิเคราะห์กันที่จำนวนผู้มีสิทธิ 4.374 ล้านเสียง
-ประมาณ 1.74 แสนเสียง เป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในครั้งก่อน (ปี 2556 มีจำนวน 4.2 ล้านคน)
-แบ่งเป็นเพศชาย จำนวน 1,996,104 คน เพศหญิง จำนวน 2,378,027 คน
คือ มีจำนวน ผู้หญิง มากกว่า ผู้ชาย ประมาณ 3.8 แสนคน
-กว่า 16% ของจำนวนทั้งหมด หรือราว 7.2 แสนเสียง
เป็นสิทธิและเสียงของผู้ที่เพิ่งจะได้เลือกตั้งครั้งแรก
ดังนั้นจึงสังเกตได้ว่า ทั้งนโยบายทั้งภาพลักษณ์ของผู้สมัครนอกจากจะต้องเอาใจคนกรุงโดยทั่วไปแล้ว
จะต้องเอาใจและได้ใจวัยรุ่น รวมทั้ง ความเป็นเพศหญิงเพศชายด้วย
ส่วนอีกประเด็นหนึ่ง ก็การพินิจพิเคราะห์ว่า ในบรรดาผู้สมัครทั้งหมดนั้น
มีผู้ใดที่มีประสบการณ์และความชำนาญการในการบริหารจัดการ และมีความเป็นผู้นำองค์กร แล้วในจำนวนผู้สมัครเหล่านี้มีใครที่เราคิดได้ว่าจะมีฝีมือในการบริหารจัดการองค์กรที่เรียกว่า กทม.เพราะเราคงไม่ต้องการมือสมัครเล่น ไม่ต้องการนักเพ้อเจ้อและนักขายฝัน เพราะเราต้องการมีชีวิตอยู่ในราชธานีที่มีความเป็นศิวิไลซ์ และกำกับด้วยหลักธรรมาภิบาล (ซึ่งดูเป็นหลักการที่ดี แต่เอาจริงเข้า ก็มิใช่ จะเป็นประเด็นหลักฯ)
l โดยสรุป ในส่วนของผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกผู้ว่าฯกทม. 22 พ.ค. 2565
-ผู้มีสิทธิ 4.374 ล้านคน
-หญิง 2.378 ล้านคน ชาย 1.996 ล้านคน
-หนุ่มสาวผู้เพิ่งมีสิทธิครั้งแรก 7 แสน
-ฐานคะแนนของพรรคการเมือง ? ล้านคน
-ฐานคะแนนของกลุ่มการเมือง ? แสนคน
-ฐานคะแนนของผู้สมัครอิสระ ? คน
-ฐานการเมืองของ พล.ต.อ.อัศวิน อดีตผู้ว่าฯกทม. 3 แสนคน
-ฯลฯ
l หัวใจสำคัญ ที่จะมีบทบาทหรือมีอิทธิพลมากไม่น้อย ต่อการตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯกทม.
๑.เลือกใคร
๒.ไม่เลือกใคร
เลือกใคร เพื่อให้คนที่ตนเองรักชอบพอใจ ได้
ไม่เลือกใคร เพื่อป้องกัน มิให้ “ผู้สมัคร ๑” ได้รับเลือก
(อาจจะคล้ายๆ กับ สมัยเลือกตั้งทั่วไป ปี ๒๕๖๒ ที่คนฝ่ายหนึ่ง เทคะแนนให้พรรคพลังประชารัฐ)ครั้งนี้ มีความสำคัญไม่น้อยกว่ากัน และหรืออาจจะมากกว่าเพราะมีความสำคัญที่อาจถึงขั้นชี้ชะตาอนาคตของ “คนบางคน”
และจะเป็นประเด็น ที่มีการกล่าวถึงมากขึ้น ในการรณรงค์ต่อไป (จะขอกล่าวถึง อีกครั้งหนึ่ง ช่วงใกล้ๆ วันเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.โดยจะมีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ)
l อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญไม่น้อย คือ คะแนนเสียงของผู้สมัครที่จะได้เป็นผู้ว่าฯกทม.
จะน้อยกว่าครั้งก่อนๆ ตัวเลขที่นักวิชาการ และผู้มีประสบการณ์ทางการเมือง ประมาณการ
จะไม่ถึงล้านคะแนน
อาจจะอยู่ที่ประมาณ 8 แสนคะแนน
l มาพิจารณา ดูเหตุปัจจัย
๑.มีการแบ่งคะแนน ในฝ่ายทางการเมือง
(๑) ฝ่ายสีแดง หรือพรรคฝ่ายค้าน
เบอร์ ๑๑ น.ต.ศิธา ทิวารี พรรคไทยสร้างไทย : สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ
เบอร์ ๑ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร พรรคก้าวไกล (ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
เบอร์ ๘ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อิสระเทียม พรรคเพื่อไทย?
(๒) ฝ่ายสีเหลืองคะแนนเสียงหลัก
เบอร์ ๖ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง (ยังมีคะแนนฐานเดิม และกลุ่มการเมือง)
เบอร์ ๓ นายสกลธี ภัททิยกุล (กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ)
ฝ่ายสีเหลือง พรรคประชาธิปัตย์ (ซึ่งมีการลาออกจากคนเก่าส่วนหนึ่ง)
เบอร์ ๔ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ พรรคประชาธิปัตย์
(๓) อิสระ ที่มีโอกาส ได้คะแนน ใกล้แสน คะแนน
เบอร์ ๗ นางสาวรสนา โตสิตระกูล
(๔) อิสระ ที่มีคะแนนไม่มากนัก หลักพัน หรือหมื่นต้นๆ
๒.คะแนนส่วนสำคัญอย่างหนึ่ง คือ การเลือกคู่ กับ สก.
จำนวน สก. 50 ตำแหน่งอาศัยฐานเสียงของพรรคการเมือง กลุ่มอิสระ กลุ่มการเมือง ผู้สมัครอิสระ (อาจจะมีจำนวนไม่น้อย ที่เลือกผู้ว่าฯกทม. ต่างออกไปจากการเลือก สก.ด้วยเหตุปัจจัยต่างกัน)
๓.คะแนนจากการซื้อเสียง ทั้งโดยระบบอุปถัมภ์ และการจ่ายเงิน ผ่านหัวคะแนน
๔.คะแนนจากการสร้างกระแสทางการเมือง ให้มีระดับสูง (อาจจะเป็นตัวชี้ขาด)
l สรุป พิจารณา คะแนนเสียง จากผู้มีกระแสทางการเมือง รอบรับ ณ ปัจจุบัน
(แต่อาจจะมีการเปลี่ยน หรือพลิก เมื่อมีการหาเสียงใหญ่ที่เข้าใกล้วันเลือกตั้ง)
โดยขอนำเสนอ ในระดับต่ำสุด ขึ้นมา
๑.ผู้สมัคร ที่จะได้ ๗ อันดับแรก จะต้องมีคะแนน ประมาณ ๑ แสนคะแนน
๒.ผู้สมัคร ที่จะได้ ๖ อันดับแรก จะต้องมีคะแนน ประมาณ ๒ แสนคะแนน
๓.ผู้สมัครที่จะได้ ๓ อันดับแรก จะได้คะแนน ๓ แสนคะแนน
๔.ผู้สมัครที่จะได้ ๒ อันดับแรก จะได้คะแนน ๕ แสนคะแนน
๕.ผู้สมัครที่จะได้เป็นผู้ว่าฯกทม. จะได้คะแนน ๘ แสนคะแนน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี