ปัจจุบันย่างเข้าสู่ปีสุดท้ายของการบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 จะทำงานไปจนถึงในวันที่ 23 มีนาคม 2566 จากนั้นต้องมีการเลือกตั้งวันสุดท้ายจากนั้นก็ต้องมีการเลือกตั้ง สส.ชุดใหม่ และปัญหาที่หนักหน่วงในขณะนี้คือปัญหาด้านเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ที่เดือดร้อนมากจากการระบาดของโรคไวรัสโควิดที่เป็นภาระหนักมาตั้งแต่ปี 2563 ถึงปี 2565 และที่ตามมาคือปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่มีราคาแพงทะยานขึ้นแบบผิดปกติสืบเนื่องมาจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน
ข้อเท็จจริงสงครามชนเผ่าสลาฟและรุสที่มีประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้อง 200 ล้านคน ทำให้ราคาเชื้อเพลิงแพงลิ่วแบบไม่มีเหตุผลเพราะสงครามเย็นระหว่างประเทศในกลุ่มที่เราเรียกว่า
จี-20 ซึ่งฝ่ายหนึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นชาตินำกับชาติฝรั่งผมทองเรียกว่าอียูหรือประชาคมเศรษฐกิจยุโรปที่หนุนยูเครน มี ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ ที่เป็นสมุนรับใช้สหรัฐอเมริกาชัดแจ้ง
กับฝ่ายที่ 2 คือรัสเซียที่เรียกว่าแกนนำของยูเรเซียได้แก่ รัสเซีย ตุรกี จีน อินเดีย เบลารุส อิหร่าน ปากีสถาน ซาอุดีอาระเบีย อินโดนีเซีย สมทบด้วยเวียดนาม เมียนมา กัมพูชา สปป.ลาว เซอร์เบีย ฮังการี อัฟกานิสถาน ซีเรีย ชนชาติอาหรับในตะวันออกกลาง คิวบา เวเนซุเอลา อาจจะมีไทยด้วยในทางพฤตินัยที่ถูกอเมริกาบีบหน้าเขียวให้เกลียดรัสเซียแต่รัฐบาลไทยไม่ยอมทำตามเหมือนอาร์เจนตินาและบราซิล ที่ยังคงสงวนท่าทีอยู่
ปัญหาที่ราคาเชื้อเพลิงของโลกพุ่งสูงผิดธรรมชาติเกิดมา60 วันแล้วจากสงครามรัสเซียกับยูเครน ด้านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์เผยว่าตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 นี้ ภาครัฐจะอุดหนุนราคาดีเซล 50% ในส่วนที่เกิน 30 บาทโดยสั่งการให้กระทรวงพลังงานหารือกับคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงถึงแนวทางในการดูแลประชาชน เพราะหากลดการอุดหนุนลงเหลือ 50% ของราคาส่วนที่เกิน 30 บาท ย่อมส่งผลกระทบมากพอสมควรโดยให้ดูหลายแนวทางเพื่อลดผลกระทบประชาชนสำหรับการกู้เงิน
ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในเดือนเมษายนนี้อีกได้ข้อสรุปและทุกอย่างจะเรียบร้อย เพราะได้ประสานกับกระทรวงการคลังแล้วให้มาช่วยให้ความมั่นใจกับสถาบันการเงินที่จะปล่อยกู้ให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วว่าเงินกู้ในส่วนนี้รัฐบาลจะช่วยดูแลให้
ที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจัดทำแผนรองรับมาตรการพยุงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้กระทบภายหลังวันที่ 30 เมษายนนี้ ที่รัฐบาลจะปล่อยราคาดีเซลเกินลิตรละ 30 บาท และจะพยุงราคา 50% ในส่วนที่เกิน 30 บาท แต่หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังสูงขึ้นต่อเนื่องจะทำให้การช่วยเหลือในสัดส่วน 50% อาจจะยังไม่เพียงพอ
ราคาจริงของน้ำมันดีเซลปัจจุบันต้องขายลิตรละ 41.15 บาทแต่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนที่ลิตรละ 11.21 บาท เพื่อให้ราคาขายหน้าสถานีบริการน้ำมันภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลตั้งราคาขายอยู่ที่ 29.94 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม ในการช่วยเหลือดีเซลคนละครึ่งด้วยการนำราคาดีเซลลิตรละ 30 บาท เป็นตัวตั้งนั้นจะต้องดูว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกนับจากนี้จะเคลื่อนไหวไประดับใด
ถ้ารัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือส่วนที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่งในวันที่ 1 พฤษภาคมซึ่งจะส่งผลให้ราคาหน้าสถานีบริการน้ำมันอยู่ที่ลิตรละ 35.50 บาท ซึ่งผู้บริหารและคณะทำงานประกอบด้วยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง จึงกังวลว่าราคายังสูงเกินไปจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ยังคงสูงขึ้นในขณะนี้ จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงทันทีเพราะค่าขนส่งจะขึ้นรุนแรงให้เร่งทำแผนช่วยเหลือหลายรูปแบบเข้ามา
ปัจจุบันภาคประชาชนและเอกชนได้รับผลกระทบมากจากภาวะบีบรัดทางเศรษฐกิจการค้าขายทรุดจากปี 2562 แม้สินค้าส่งออกจะสูงขึ้น แต่ไปดีเฉพาะกลุ่มมหาเศรษฐี ส่วนชนชั้นกลางและประชาชนรากหญ้ายังเดือดร้อนอยู่มากรัฐต้องมองที่ปากท้องของประชาชนก่อนอย่ามัวเงื้อง่าราคาแพงกลัวประเทศไม่มีเงินหากจะกู้เงินแก้ปัญหาอย่าลังเล รัฐบาลต้องมองปากท้องของประชาชนเป็นสำคัญน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี