สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำเสนอข้อคิดเห็นของ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่เผยแพร่ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ ในประเด็น
“การเหยียดอัตลักษณ์บุคคล” เช่น เชื้อชาติ สีผิว ศาสนา เพศ เป็นต้น โดยทาง กสม. ยกกรณี “คลับเฮาส์เหยียดคนอีสาน” ที่เคยเป็นดราม่าใหญ่โตเมื่อช่วงปลายปี 2564 มาเป็นตัวอย่าง พร้อมกับชวนท่านผู้อ่านช่วยกันคิดว่า “ประเทศไทยควรมีกฎหมายเอาผิดการเหยียดอัตลักษณ์บุคคล ที่เข้าข่ายละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่?” ดังที่บางประเทศมีกฎหมายทำนองนี้
รายงานของ กสม. ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 5 พ.ค.2565 ระบุว่า กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือน ม.ค. 2565 กรณีบุคคลในสื่อสังคมออนไลน์กลุ่มคลับเฮาส์ (Clubhouse Application) ใช้คำพูดที่มีลักษณะเป็นการจงใจดูหมิ่น เหยียดหยาม และด้อยค่าคนอีสาน เมื่อวันที่4 พ.ย. 2564 ซึ่งเป็นกรณีที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความไม่เหมาะสมนั้น กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงบทบัญญัติของกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนความเห็นจากนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสื่อสาร และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยประชุมร่วมกัน เมื่อเดือน ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา แล้วเห็นว่า
“ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คือ คุณค่าในฐานะที่เกิดเป็นมนุษย์ บุคคลจะปฏิบัติต่อบุคคลด้วยกันโดยทำให้ผู้ที่ถูกปฏิบัติมีคุณค่าที่ต่ำลงกว่าความเป็นมนุษย์ไม่ได้ นอกจากนี้ ชื่อเสียงและเกียรติยศของบุคคล เป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 32 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามให้การรับรองไว้
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิดังกล่าวนี้จึงย่อมก่อให้เกิดหน้าที่แก่รัฐและบุคคลทั่วไปที่จะต้องปฏิบัติตาม ทั้งนี้ บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะกระทำการใดก็ได้ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพนั้นไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น”
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีคลับเฮาส์เหยียดหยามคนอีสานดังกล่าว เป็นการทำให้คุณค่าในฐานะที่เกิดเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่นต่ำลง ทั้งยังมีผลกระทบต่อสิทธิในชื่อเสียงและเกียรติยศของบุคคล อันถือเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพที่เกินขอบเขตและละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น จึงเห็นว่า ในชั้นนี้กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
รายงานของ กสม. ยังกล่าวด้วยว่า สภาพปัญหาของภัยจากสื่อออนไลน์ในปัจจุบันมีความสำคัญและน่ากังวลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการกลั่นแกล้งทางออนไลน์(Cyberbullying) และประทุษวาจา (Hate Speech) เพื่อทำให้ผู้อื่นเสียหาย รู้สึกอับอาย และได้รับผลกระทบทางจิตใจ อันอาจนำไปสู่การกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีอื่นๆ ได้อีก นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษาทางวิชาการหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า สังคมไทยยังอุดมไปด้วยอคติต่อบุคคลที่มีความแตกต่าง โดยเฉพาะทางเชื้อชาติ เพศ และศาสนา
ซึ่งหากไม่ได้รับการขจัดอคติดังกล่าว อาจนำไปสู่การกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ ดังนั้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2565 จึงเสนอแนะ ดังนี้ 1.มาตรการในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน : ให้กระทรวงดีอีเอส หารือร่วมกับ กสทช. และ สตช.ในการกำหนดมาตรการควบคุมและตรวจสอบการกระทำที่ไม่เหมาะสมทางออนไลน์
ตลอดจนการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำความผิด โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชั่นต่างๆ เช่น การรายงานการกระทำที่ไม่เหมาะสม การสร้างค่านิยมที่ดีในการใช้งาน การพัฒนาแอปพลิเคชั่นเพื่อควบคุมการใช้งาน การบังคับให้ผู้ใช้งานยืนยันตัวตนก่อนเข้าใช้งาน การติดตามผู้กระทำความผิดเพื่อดำเนินคดี เป็นต้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก ทั้งนี้ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับรายงานข้อเสนอแนะนี้
2.มาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน : ประกอบด้วย 2.1 ให้กระทรวงศึกษาธิการ และ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พิจารณากำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนด้านสิทธิมนุษยชนในสถานศึกษา เพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการเคารพสิทธิมนุษยชน รวมถึงกำหนดหลักสูตรเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนและนักศึกษาใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์
2.2 ให้กระทรวงดีอีเอส กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวง อว. กระทรวงวัฒนธรรม และกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) บูรณาการร่วมกันเพื่อสร้างความตระหนักในการใช้สื่อดิจิทัล โดยกำหนดแนวทางในการสร้างความตระหนักรู้และค่านิยมที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ ที่เคารพในความเป็นส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียงของผู้อื่น รวมถึงการรู้เท่าทันภัยจากสื่อออนไลน์
2.3 ให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ร่วมสร้างการตระหนักรู้ในประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน สร้างความรับรู้เรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในสังคมวงกว้าง เพื่อช่วยปลูกฝังให้เกิดความเข้าใจและยอมรับความแตกต่างทางความคิด และความหลากหลายในสังคม และ 2.4 ให้กรมกิจการเด็กและ
เยาวชนร่วมกับกระทรวงดีอีเอส พิจารณาศึกษาและผลักดันให้มีกฎหมาย หรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่แล้วให้มีเนื้อหาครอบคลุมการคุ้มครองเด็กจากภัยในสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเพศ
ในช่วงท้าย วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตอบคำถามจากสื่อมวลชน กรณีประเทศไทยควรมีกฎหมายเอาผิดพฤติกรรมทำนองนี้หรือไม่ ว่า ต้องมีสมดุลระหว่างการมีกฎหมายเพื่อคุ้มครองสังคมโดยทั่วไปกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีกฎหมายนั้น ซึ่งในประเทศที่มีปัญหาความแตกต่างของสีผิวหรือเชื้อชาติอย่างรุนแรง มีกฎหมายเรื่องนี้มาออกมาเพื่อไม่ให้ความแตกต่างลุกลามกลายเป็นความแตกแยกและความไม่สงบในสังคม
“กรณีที่มีการออกกฎหมายแบบนี้อาจต้องระมัดระวังไม่ให้ไปกระทบต่อสิทธิหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเลยจะเป็นขั้นตอนถัดไปที่เราอาจศึกษาลงรายละเอียดมากขึ้นว่าควรมีกฎหมายนี้หรือไม่” วสันต์ กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี